เมื่อวานมีอะไรกับแฟนตอนประจำเดือนใกล้จะหมดแต่มาแบบกระปิดกระปอย แต่หลั่งนอก พอตื่นมาวันนี้ประจำเดือนก็ยังมีนิดๆแต่เป็นสีน้ำตาล อยากทราบว่าจะมีโอกาสท้องมั้ยคะ

สวัสดีครับ
การมีเพศสัมพันธ์โดยการหลั่งนอกนั้นอาจมีอสุจิที่ปนอยู่ในน้ำหล่อลื่นของผู้ชายหลุดลอดเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ได้ทำให้มีโอกาสผิดพลาดตั้งครรภ์ได้ 4-27% ครับ และการที่เพิ่งมีเลือดออกมากระปริดกระปรอยก็ยังยากที่จะบอกได้ว่าเป็นประจำเดือนจริงหรือไม่

ในกรณีนี้หมอแนะนำว่าควรหายาคุมฉุกเฉินมารับประทานให้เร็วที่สุดก่อนภายใน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์เพื่อลดโอกาสตั้งครรภ์ลง 75-85% ครับ

ถ้าชัวร์ว่าเป็นรอบประจำเดือนจริง คือตรงกับรอบอื่นๆที่ผ่านมา
ในช่วงประจำเดือนนั้น จะไม่มีไข่ตก นั่นคือโอกาสท้องเเทบไม่มีครับ

ดังนั้นถ้าเดิมประจำเดือนมาสม่ำเสมอ เเล้วมีเพศสัมพันธ์ในช่วงก่อน7วันจนถึงหลัง7วันนับจากประจำเดือนมาวันเเรก เป็นระยะปลอดภัย ไม่มีไข่ตก โอกาสท้องเเทบไม่มีครับ
เรียกว่าระยะปลอดภัย อาจไม่ต้องกินยาคุมฉุกเฉินครับ

เเต่ถ้าเดิมประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ทำให้กะช่วงเวลาตกไข่ยาก หรือประจำเดือนมาสม่ำเสมอเเต่มีเพศสัมพันธ์ช่วง14วันนับจากวันเเรกที่ประจำเดือนรอบนั้นมา จะเป็นช่วงไข่ตก โอกาสท้องมากขึ้นครับ กรณีนี้เเนะนำปรึกษาเภสัชกรเรื่องยาคุมฉุกเฉินครับ

ถ้าวันที่มีเพศสัมพันธ์อยู่ในช่วง "หน้า 7 - หลัง 7" โดยทั่วไปถือว่ามีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 24% ค่ะ ส่วนการหลั่งนอก โดยทั่วไปถือว่ามีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 22% นะคะ ดังนั้น ในกรณีของผู้ถาม ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ได้ 22% นั่นเองค่ะ

หากเทียบกับการไม่ป้องกันใด ๆ เลย ที่จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 85% ก็อาจดูว่ามีความเสี่ยงที่น้อยกว่านะคะ

แต่ถ้าเทียบกับการใช้ถุงยางอนามัย ที่ถ้าใช้ถูกต้องและไม่รั่วซึมหรือฉีกขาด ที่จะมีโอกาสตั้งครรภ์เพียงแค่ 2% ก็จะเห็นได้ว่า การที่ใช้วิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพต่ำอย่างการหลั่งนอก และไม่ว่าจะอยู่ในช่วง "หน้า 7 - หลัง 7" หรือไม่ก็ตาม มีความเสี่ยงที่จะป้องกันไม่สำเร็จและอาจตั้งครรภ์ไม่พร้อมได้มากกว่าที่ควรจะเป็นค่ะ

ดังนั้น หากต้องการลดความเสี่ยงดังกล่าวให้น้อยลง แนะนำให้รับประทานยาคุมฉุกเฉินทันที หรือเร็วที่สุดที่ทำได้นะคะ อาจช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวให้เป็น 15% ได้ถ้าใช้เร็วและครบขนาด

และครั้งต่อไปที่จะมีเพศสัมพันธ์ หากยังไม่พร้อมจะมีบุตรและไม่ได้คุมกำเนิดด้วยวิธีใด ๆ อยู่ ควรให้แฟนใช้ถุงยางทุกครั้งนะคะ

ในทางปฏิบัติการมีเพศสัมพันธ์โดยการนับวันปลอดภัยหน้า 7 หลัง 7 นั้นจะไม่ถือว่าปลอดภัยเนื่องจากในบางรอบเดือนก็อาจมีการตกไข่ที่เร็วกว่าปกติเกิดขึ้นได้ครับ

ในกรณีนี้จึงควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินในช่วงเวลาที่หมอได้แนะนำไปก่อนเพื่อความปลอดภัยครับ

การรับยาคุมฉุกเฉินนั้นสามารถรับประทานได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งโดยไม่มีผลในระยะยาวครับ เพียงแต่ว่าการรับประทานยาคุมฉุกเฉินไม่ใช่การป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพสูง และมีผลข้างเคียงหลังรับประทานยาได้หลายอย่าง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ คัดตึงเต้านม ตกขาวมากขึ้น มีเลือดออกกระปริดกระปรอย

การรับประทานยาคุมฉุกเฉินจึงควรรับประทานในกรณีที่จำเป็นเช่นในกรณีที่ได้มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันไปแล้วในกรณีนี้เท่านั้น

ส่วนครั้งต่อไปที่จะมีเพศสัมพันธ์อีกก็ควรมีการป้องกันทุกครั้งเพื่อให้ปลอดภัยจากการตั้งครรภ์ครับ

"ทานยาคุมฉุกเฉินเกิน 2 ครั้งในชีวิต มีผลข้างเคียงระยะยาวไหมคะ"

ยังไม่พบข้อมูลใด ๆ ที่ชี้ชัดได้ว่าการใช้ยาคุมฉุกเฉิน แม้จะรับประทานซ้ำหลายรอบ หรือใช้เกินขนาดที่แนะนำ ทำให้เกิดอันตรายที่รุนแรงหรือถาวรใด ๆ ค่ะ ดังนั้น หากมีเหตุฉุกเฉินที่จำเป็นจะต้องใช้ ก็สามารถรับประทานได้เลยนะคะ

และในปัจจุบัน ไม่ได้มีข้อแนะนำว่า "ห้ามใช้เกิน 2 กล่องต่อเดือน" เหมือนที่เตือนกันในอดีตค่ะ เนื่องจากผลการศึกษาชี้ว่ายาคุมฉุกเฉินไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงของการตั้งครรภ์นอกมดลูกอย่างที่เคยกังวล

แต่ก็ไม่ควรนำยาคุมฉุกเฉินมาใช้แทนวิธีคุมกำเนิดปกตินะคะ เช่น ใช้เพราะไม่อยากใส่ถุงยางอนามัย เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพที่ต่ำกว่าวิธีคุมกำเนิดปกติหลายเท่า การนำมาใช้โดยไม่จำเป็น จึงทำให้เสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ไม่พร้อมได้มากกว่าที่ควรจะเป็นค่ะ

การรับยาคุมฉุกเฉินนั้นสามารถรับประทานพร้อมกัน 2 เม็ดทันทีได้ และก็เป็นวิธีการรับประทานยาคุมที่ถูกต้องวิธีหนึ่งที่จะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ครับ

การรับประทานยาคุมฉุกเฉิน มีวิธีรับประทานได้ 2 วิธีค่ะ

1. วิธีดั้งเดิม คือรับประทานตัวยาลีโวนอร์เจสเทรลครั้งละ 0.75 มิลลกรัม รวม 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมง (รวมแล้วจะได้ตัวยารวมกัน 1.5 มิลลิกรัม) ซึ่งถ้าใช้ยาคุมฉุกเฉินยี่ห้อที่มีแผงละ 2 เม็ด ก็คือรับประทานครั้งละ 1 เม็ด ห่างกัน 12 ชั่วโมงนั่นเองนะคะ

2. วิธีใหม่ คือรับประทานตัวยาลีโวนอร์เจสเทรลครั้งละ 1.5 มิลลิกรัมครั้งเดียว ดังนั้น ถ้าใช้ยาคุมฉุกเฉินยี่ห้อที่มีแผงละ 2 เม็ด ก็รับประทาน 2 เม็ดพร้อมกันในครั้งเดียว หรือถ้าใช้ยี่ห้อที่มีแผงละ 1 เม็ด ก็รับประทานเม็ดเดียวครั้งเดียวค่ะ

ทั้งสองวิธี เคยมีการศึกษาที่ชี้ว่าประสิทธิภาพและผลข้างเคียงไม่แตกต่างกันนะคะ

อย่างไรก็ตาม การศึกษาใหม่ ๆ ชี้ว่าการรับประทานแบบครบขนาดในครั้งเดียว มีแนวโน้มที่จะมีประสิทธิภาพที่สูงกว่า อีกทั้งยังสะดวกในการใช้ ไม่ต้องกังวลว่าจะรับประทานไม่ครบขนาดอีกด้วย ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องใช้ ก็แนะนำให้รับประทานแบบครบขนาดในครั้งเดียวได้เลยค่ะ