คำถามที่1 การกินยาคุมฉุกเฉินหลายๆครั้งในชีวิตผู้หญิงคนหนึ่ง จะส่งผลกระทบต่อร่างกายหรือสุขภาพในอนาคตหรือไม่อย่างไร คำถามที่2 อ่านเจอมาว่าหากกินเกิน2ครั้งในชีวิต จะเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งรังไข่ จริงรึเปล่าครับ คำถามที่3 สรุปแล้วการกินยาคุมฉุกเฉินส่งผลให้เสี่ยงต่อภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูกจริงรึเปล่า ข้างก็บอกว่ามีโอกาส บ้างก็บอกว่ามีการพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง ปล. แฟนผมกินยาคุมฉุกเฉินมา3-4ครั้งแล้ว แต่ไม่เคยเกินเดือนละ2ครั้ง และทุกครั้งกินยาคุมฉุกเฉินแบบ1เม็ดตลอด ล่าสุดคือมีอะไรกับแฟน แล้วห้ามใจตัวเองกันไม่ได้ ไม่ได้ใส่ถุงตอนมีเพศสัมพันธุ์ ซึ่งหลั่งข้างนอก แต่กลัวว่าระหว่างสอดใส่จะมีอสุจิปนในน้ำหล่อลื่น เลยอยากให้แฟนกินยาคุมฉุกเฉินอีกครั้ง แต่แฟนไม่อยากกินแล้ว เพราะกลัวว่ายาฮอร์โมนจะส่งผลกระทบต่อร่างกายและสุขภาพ

สวัสดีครับ
ฮอร์โมนจากยาคุมฉุกเฉินจะไม่ได้ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงในระยะยาว ไม่ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง และไม่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกครับ ในปัจจุบันนี้ไม่ได้มีการตำกัดแล้วว่าห้ามรับประทานยาคุมฉุกเฉินเกินกี่ครั้ง แต่เมื่อมีความจำเป็นก็สามารถรับประทานยาคุมฉุกเฉินได้เลยครับ

อย่างไรก็ตามการรับประทานยาคุมฉุกเฉินจะลดโอกาสตั้งครรภ์ได้เพียง 75-85% เท่านั้นและยังมีผลข้างเคียงหลังรับประทานยาหลายอย่าง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ คัดตึงเต้านม ตกขาวมากขึ้น เลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน ด้วยเหตุนี้จึงไม่ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆและควรป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยวิธีอื่นจะเหมาะสมกว่าครับ

1.ปัจจุบัน พบว่าการกินยาคุมฉุกเฉินหลายๆเเผงนั้น ด้วยตัวยาไม่ได้มีผลกระทบหรือผลข้างเคียงร้ายเเรงครับ เช่น คลื่นไส้ คัดตึงเต้านม มีเบือดออกกระปริบกระปรอย เเละประจำเดือนเลื่อนได้ครับ

2.ดังนั้น กินเกินสองเเผง ด้วยตัวยาไม่ได้ส่งผลต่อมะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งรังไข่ครับ เเต่กรณีมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ป้องกันนั้น มีโอกาสที่จะติดเชื้อHPVซึ่งเป็นสาเหตุจองมะเร็งปากมดลูกได้ครับ

3.การกินยาคุมฉุกเฉิน ไม่ใช่การคุมกำเนิดที่ดี เนื่องจากถ้าหลุดท้องนั้นมีโอกาสที่จะเกิดการท้องนอกมดลูกมากกว่าปกติครับ
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีผลรบกวนกระบวนการตกไข่ รบกวนการที่อสุจิจะเข้าไปผสมกับไข่ รวมทั้งส่งผลเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อทำให้ยากแก่การฝังตัวของไข่ที่ผสมกับอสุจิครับ ดังนั้นเมื่อหลุดท้อง ก็มีโอกาสที่ตำเเหน่งการใังตัวของตัวอ่อนจะผิดปกติครับ

4.ถ้าคนไข้ไม่ได้คุมกำเนิดอยู่ก่อน การกินยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ถ้าจำเป็นก็กินได้ครับ แต่อาจเพิ่มอาการข้างเคียงจากยา เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บเต้านม เลือดประจำเดือนแปรปรวน หรือมีเลือดออกผิดปกติ ดังนั้นหากต้องการมีเพศสัมพันธ์ต่อไปแนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัย หรือรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดปกติทั่วไป การฉีดยาคุม การฝังยาคุมครับ

1. ยังไม่พบข้อมูลที่น่าเชื่อถือใดที่ชี้ชัดได้ว่าการใช้ยาคุมฉุกเฉินชนิดตัวยาลีโวนอร์เจสเทรล (เป็นชนิดที่มีใช้ในประเทศไทย) บ่อย ๆ หรือเกินขนาดที่แนะนำ จะทำให้เกิดอันตรายที่รุนแรงหรือถาวรใด ๆ ค่ะ

อย่างไรก็ตาม ถ้าการใช้บ่อย ๆ หมายถึง นำมาใช้แทนวิธีคุมกำเนิดปกติ ถือว่าไม่เหมาะสมและมีความเสี่ยงที่จะป้องกันไม่สำเร็จและตั้งครรภ์ได้มากกว่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพต่ำกว่าวิธีคุมกำเนิดมาตรฐานนั่นเองนะคะ

2. ไม่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือใดที่สรุปได้ว่าการใช้ยาคุมฉุกเฉินชนิดตัวยาลีโวนอร์เจสเทรลจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่าง ๆ ค่ะ

3. ในอดีตเคยมีความกังวลเช่นนั้น แต่การศึกษาในปัจจุบันชี้ว่าการใช้ยาคุมฉุกเฉินไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงของการตั้งครรภ์นอกมดลูกอย่างที่เคยกังวล
..
..
..
การนำยาคุมฉุกเฉินมาใช้เพียงเพราะไม่อยากใส่ถุงยางอนามัย ต่อให้ใช้ไม่บ่อย หรือไม่เกิน 2 ครั้ง/เดือน ก็เป็นการใช้ที่ไม่เหมาะสมค่ะ เพราะประสิทธิภาพที่ต่ำกว่าจึงเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ไม่พร้อมได้มากกว่าที่ควรจะเป็น

อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ที่มีเพศสัมพันธ์และป้องกันด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพต่ำอย่างการหลั่งนอกไปแล้ว ถือว่ามีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 22% ตามวิธีหลั่งนอกนะคะ ถ้าแฟนของผู้ถามรับความเสี่ยงนี้ได้ ก็ไม่มีปัญหาค่ะ

แต่ถ้ารับความเสี่ยงดังกล่าวไม่ได้ แนะนำให้รับประทานยาคุมฉุกเฉินทันที หรือเร็วที่สุดที่ทำได้ ยิ่งเร็วยิ่งดี อย่างช้าไม่เกิน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ หากใช้เร็วและครบขนาดอาจช่วยลดความเสี่ยงให้เหลือเป็น 15% แทนได้

และครั้งต่อไปที่จะมีเพศสัมพันธ์ ผู้ถามควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพราะถ้าใช้ถุงยางถูกวิธี และไม่มีปัญหารั่วซึมหรือฉีกขาด จะมีโอกาสตั้งครรภ์เพียงแค่ 2% ซึ่งถือว่าน้อยมากจนไม่น่าจะกังวล และแฟนก็ไม่ต้องรับผลข้างเคียงจากฮอร์โมนในยาคุมด้วยค่ะ

ถ้าหากมีเพศสัมพันธ์โดยการใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยอย่างถูกต้องแล้วก็จะมีโอกาสผิดพลาดตั้งครรภ์ได้เพียง 2% เท่านั้นซึ่งก็จะไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานยาคุมฉุกเฉินเพิ่มอีกครับ แต่ถ้าหากรับประทานไปแล้วก็ไม่มีปัญหาเพราะไม่ได้เป็นการทำให้ความเสี่ยงในการตั้งครรภ์เพิ่มมากขึ้น และถ้าหากได้มีประจำเดือนมาในลักษณะที่เป็นปกติแล้วก็จะเป็นการยืนยันได้ทางหนึ่งว่าไม่มีการตั้งครรภ์ครับ

แต่ถ้าหากประจำเดือนมาในลักษณะที่ผิดปกติไปหรือต้องการยืนยันให้แน่ใจก็สามารถลองตรวจการตั้งครรภ์ยืนยันดูได้ โดยให้ตรวจห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันและใช้ปัสสาวะแรกหลังตื่นนอนตอนเช้าในการตรวจ ก็จะให้ผลตรวจที่เชื่อถือได้ 97-99% ครับ