ปัจจุบัน มีผู้หญิงครรภ์จำนวนมากที่รู้สึกว่าตัวเองปวดท้องขณะตั้งครรภ์อ่อน ๆ แล้วเกิดความวิตกกังวลจนต้องรีบไปพบแพทย์ทันที ทั้งที่เป็นเพียงการเจริญเติบโตทั่วไปของทารกในครรภ์ที่คุณแม่ทุกคนต้องเจอเท่านั้น ส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นก็เพราะคุณแม่มือใหม่ทั้งหลาย ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเมื่อตั้งครรภ์แล้วจะมีการปวดท้องนอกเหนือไปจากอาการปวดก่อนคลอดแต่เพียงเท่านั้น จึงทำให้เกรงว่าจะเกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ หรือเป็นเหตุให้เกิดภาวะแท้งบุตร ซึ่งเราก็ได้รวบรวมเรื่องราวของอาการปวดท้องขณะตั้งครรภ์มาไว้ในบทความนี้แล้ว ใครที่กำลังสงสัย หรือเตรียมพร้อมก่อนการตั้งครรภ์ ควรอ่านเพื่อทำความเข้าใจและรับมือกับปัญหานี้มากยิ่งขึ้น
ปวดท้องขณะตั้งครรภ์ เกิดจากอะไร?
ในช่วงระยะเวลา 0-3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ร่างกายของคุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอ้ที่กำลังจะกลายเป็นทารกอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบริเวณมดลูกที่จะต้องมีการขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม จึงเป็นเหตุให้คุณแม่บางคนเกิดการปวดท้องน้อยประมาณหนึ่งพอทนได้ แต่เมื่อทารกมีการฝังตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาการปวดท้องก็จะค่อย ๆ ลดน้อยลงไปเอง เพราะมดลูกจะไม่ค่อยขยายตัวเร็วเท่าในช่วง 3 เดือนแรก แต่หากในช่วงนี้คุณแม่ยังมีเพศสัมพันธ์กับคุณพ่ออยู่ หรือมีการทำกิจวัตรประจำวันตลอดเวลา ก็อาจจะทำให้เกิดอาการปวดท้องได้อีกครั้ง ซึ่งเกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อที่มากเกินไปนั่นเอง
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดท้องแบบรุนแรง หรือปวดท้องแบบหน่วง ๆ ร่วมกับมีเลือดไหลทางช่องคลอด ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดภาวะแท้งบุตรได้ ซึ่งแพทย์จะได้ให้การช่วยเหลือ และให้คำแนะนำในส่วนนี้ต่อไป เพราะบางกรณีก็ไม่ได้เกิดจากการแท้งบุตร แต่อาจจะเกิดจากการที่คุณแม่มีการติดเชื้อในอวัยวะภายในบริเวณกระเพาะอาหารและลำไส้ ที่เกิดจากการบริโภคอาหารที่ไม่สะอาด
ปวดท้องตอนตั้งครรภ์ รับมืออย่างไรให้หายปวด
ถึงแม้อาการปวดท้องจะปวดไม่มาก แต่ก็สร้างความไม่สบายใจและความไม่สบายตัวให้กับคุณแม่พอสมควร เราจึงขอแนะนำวิธีง่าย ๆ ในการบรรเทาอาการปวดท้องดังต่อไปนี้
1.หยุดทำกิจกรรมทุกอย่าง
หากรู้สึกปวดท้อง ไม่ว่าคุณจะทำอะไรอยู่ก็ตาม ให้หยุดไว้ก่อนสักระยะแล้วเคลื่อนย้ายตัวเองไปเอนตัวลงนอนจนกว่าจะรู้สึกอาการดีขึ้น ถ้าคุณพ่อสะดวกก็อาจให้มาช่วยนวดบริเวณต่าง ๆ เพื่อให้เลือดลมได้ไหลเวียนมากกว่าเดิม ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดท้องได้
2.เมื่อรู้สึกปวดท้องให้สังเกตว่าปวดข้างไหน
เพื่อจะได้หาวิธีบรรเทาอาการปวดได้ดียิ่งขึ้น เช่น หากปวดข้างซ้ายก็ให้นอนตะแคงขวา หากยังไม่หายก็ลองนอนตะแคงซ้าย ลองขยับท่านอนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหายปวด นอกจากนี้ ก็ยังมีวิธีอื่นๆ ที่จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้อีกด้วย
3.ทานยาพารา
การทานยาพาราเพียงเล็กน้อยเพื่อบรรเทาอาการปวด ไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อทารกในครรภ์ทั้งสิ้น แต่ไม่ควรทานติดกันมากจนเกินไป หรือทานทุกครั้งเมื่อปวด เพราะอาจส่งผลกระทบต่อไตจนมีอาการปวดท้องมากขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัย แนะนำให้คุณแม่ปรึกษาแพทย์และให้แพทย์เป็นผู้จัดยาแก้ปวดให้โดยตรงจะดีกว่า เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์
4.อาบน้ำอุ่น
การอาบน้ำอุ่นช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี จึงทำให้รู้สึกปวดท้องน้อยลง แต่ต้องระวังไม่ให้อุณหภูมิของน้ำสูงจนเกินไป เพราะอาจส่งผลเสียได้มากกว่าเป็นผลดี
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
หากทดลองทุกวิธีแล้ว ยังไม่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดท้องได้ ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำหรือตรวจร่างกายหาความผิดปกติต่อไป
ปวดท้องขณะตั้งครรภ์แบบใด เรียกว่า “อันตราย”
สำหรับอาการปวดท้องที่อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะแท้งบุตร ซึ่งถือว่าเข้าสู่ภาวะอันตราย มักจะมีอาการดังต่อไปนี้
- มีอาการปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง ร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน จนถึงขั้นหมดสติ
- มีอาการเลือดไหลออกมาบริเวณช่องคลอด
- มีตัวอ่อนหลุดออกมา ภายหลังจากปวดท้องอย่างหนัก
- ปวดท้องติดกันหลายวัน ทานยาพาราเข้าไปแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น
หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะหากทิ้งไว้นาน อาจเป็นอันตรายทั้งต่อทารในครรภ์และตัวคุณแม่เองได้
หวังว่าได้อ่านบทความนี้แล้ว คุณแม่มือใหม่คงจะรู้สึกโล่งใจกันมากขึ้น และปฏิบัติตัวกันอย่างถูกต้องเมื่อเกิดอาการปวดท้องในช่วง 0-3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ดังนั้นแล้ว จงอย่าตื่นตระหนกและเครียดมากเกินไป เพราะสองสิ่งนี้อาจเป็นสาเหตุของการแท้งบุตรได้มากกว่าอาการปวดท้องเสียอีก