โรคไอกรน (Whooping cough หรือ pertussis) คือภาวะติดเชื้อแบคทีเรียที่ปอดและทางเดินหายใจที่ติดต่อได้ ภาวะนี้ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอเรื้อรังนานสองถึงสามอาทิตย์ขึ้นไป และอาจมีความรุนแรงมากในเด็กเล็กกับทารก
โรคไอกรนแพร่กระจายผ่านทางละอองสารคัดหลั่งที่ออกจากการไอหรือจามของผู้ป่วย
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
อาการของโรคไอกรน
อาการแรกของโรคไอกรนนั้นคล้ายกับไข้หวัด เช่นคัดจมูก ตาแดงและมีน้ำตาไหล เจ็บคอ และมีไข้
อาการไอต่อเนื่องจะเริ่มขึ้นหลังจากผู้ป่วยมีอาการข้างต้นไปแล้วประมาณหนึ่งสัปดาห์
การไอแต่ละครั้งมักจะกินเวลานานไม่กี่นาที และมักจะเกิดขึ้นบ่อยในช่วงกลางคืน
การไอจะขับเอาเสมหะเหนียวข้นออกมา และอาจตามมาด้วยการอาเจียนได้
ระหว่างการไอ คุณหรือลูกของคุณอาจต้องหยุดและหายใจเข้าเสียงดังจนทำให้โรคนี้ถูกเรียกว่า whooping cough กระนั้นก็ไม่ใช่ผู้ป่วยทุกรายจะส่งเสียงดังขณะหายใจเข้าเช่นนั้น
แรงไอจะทำให้หน้าของผู้ป่วยแดงมาก และอาจมีการเลือดออกเล็กน้อยใต้ผิวหนังหรือที่ดวงตาของพวกเขา
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
เด็กเล็กอาจมีใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินหากว่าพวกเขาหายใจลำบาก แม้ว่าอาการเช่นนี้จะดูน่ากลัว แต่การหายใจของพวกเขาจะกลับมาเป็นปกติหลังจากนั้นอย่างรวดเร็วเอง
สำหรับทารกที่อายุน้อยมาก ๆ การไออาจจะสังเกตเห็นได้ยาก แต่ก็อาจจะมีช่วงเวลาสั้น ๆ ที่พวกเขาจะหยุดหายใจ
อาการไอมักจะค่อย ๆ มีความถี่น้อยลงและมีความรุนแรงน้อยลงตามกาลเวลา แต่หากต้องใช้เวลานานไม่กี่เดือนกว่าอาการไอจะหายไปโดยสมบูรณ์
ใครมีความเสี่ยงต่อโรคไอกรนมากที่สุด?
โรคไอกรนสามารถเกิดได้กับผู้คนทุกเพศทุกวัย รวมไปถึง:
- เด็กทารกและเด็กเล็ก: ทารกอายุต่ำกว่าหกเดือนจะมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากโรคไอกรนมากเป็นพิเศษ
- เด็กโตและผู้ใหญ่: มักจะมีความรุนแรงไม่มาก แต่ก็อาจก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบายตัวและน่ารำคาญบ้าง
- ผู้ที่เคยเป็นโรคไอกรนมาก่อน: โรคนี้จะไม่ทำให้ร่างกายคุณก่อภูมิคุ้มกันขึ้น ทำให้คุณสามารถป่วยเป็นโรคนี้ได้อีกครั้ง กระนั้นการเจ็บป่วยครั้งใหม่ก็อาจจะมีความรุนแรงน้อยลง
- ผู้ที่ได้รับวัคซีนไอกรนมาเมื่อยังเด็ก: การป้องกันโรคไอกรนด้วยวัคซีนนั้นมักจะเสื่อมฤทธิ์ไปเองตามกาลเวลา (เพียงไม่กี่ปี)
คุณสามารถติดโรคไอกรนจากผู้ป่วยที่อยู่ใกล้ชิดกับคุณได้ โดยผู้ป่วยจะแพร่เชื้อได้ตั้งแต่หกวันแรกหลังติดเชื้อไปจนถึงสามอาทิตย์หลังจากเริ่มมีอาการไอเรื้อรัง
การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะสามารถลดระยะเวลาแพร่เชื้อของผู้ป่วยลงได้
ยุค New Normal สุขภาพ เป็นสิ่งที่ทุกคนใส่ใจมากยิ่งขึ้น
ถ้าเริ่มมีอาการเจ็บคอ คันคอ ระคายคอ หรือมีเสมหะ เหนียวคอ มาดู 5 วิธี บรรเทาง่ายๆ ได้ผล อย่ารอให้เป็นหนัก
ควรไปพบแพทย์เมื่อไร?
ควรติดต่อหรือเข้าพบแพทย์หากว่าคุณหรือลูกของคุณ:
- มีอาการของโรคไอกรน
- ประสบกับอาการไอยาวนานกว่าสามสัปดาห์
- ประสบกับอาการไอที่มีความรุนแรงกว่าปกติ หรือทรุดลงเรื่อย ๆ
รีบไปยังศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน (A&E) ที่สถานพยาบาลใกล้เคียงทันทีที่คุณหรือลูกของคุณ:
มีอาการหายใจลำบากค่อนข้างรุนแรง อย่างเช่นหายใจไม่ออกเป็นระยะเวลานานหรือสำลัก ช่วงหายใจสั้น มีช่วงที่หยุดหายใจ หรือผิวหนังเปลี่ยนสีคล้ำจากการขาดอากาศ
เริ่มมีสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนจากโรคไอกรน อย่างเช่นชัก หรือปอดบวม
การรักษาโรคไอกรน
การรักษาโรคไอกรนจะขึ้นอยู่กับอายุและระยะเวลาที่ผู้ป่วยติดเชื้อ
เด็กที่อายุต่ำกว่าหกเดือนที่ป่วยรุนแรงกับผู้ที่ประสบกับอาการรุนแรงจะต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล
ผู้ป่วยที่ถูกวินิจฉัยว่าติดเชื้ออยู่ในระยะสามสัปดาห์แรกอาจจะได้รับยาปฏิชีวนะไปรักษาตนเองที่บ้าน โดยยากลุ่มนี้มีเพื่อหยุดการแพร่เชื้อแก่ผู้อื่น ไม่ได้มีเพื่อบรรเทาอาการต่าง ๆ จากโรคนี้
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคไอกรนนานกว่าสามสัปดาห์ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาโดยเฉพาะ เพราะเป็นช่วงที่ไมสามารถแพร่เชื้อให้แก่ผู้อื่นได้ อีกทั้งการใช้ยาปฏิชีวนะก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป
ในขณะที่คุณกำลังพักฟื้นตนเองที่บ้าน ควรพักผ่อนให้มาก ๆ ดื่มน้ำให้มาก ๆ กำจัดเสมหะจากปากของคุณหรือลูก และทานยาแก้ปวดอย่างพาราเซตตามอลหรืออิบูโพรเฟนเพื่อลดไข้
เลี่ยงการใช้ยาแก้ไอเพราะยาเหล่านี้ไม่เหมาะกับเด็กเล็ก และก็มักจะไม่มีประสิทธิภาพเท่าไรนัก
การหยุดการแพร่เชื้อโรคไอกรน
หากคุณหรือลูกของคุณกำลังใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมโรคไอกรน คุณต้องใช้ความระมัดระวังไม่ให้แพร่เชื้อแก่ผู้อื่น
- ลาเรียนหรือหยุดงานไปจนกว่าจะใช้ยาปฏิชีวนะไปแล้วห้าวัน หรือภายหลังประสบกับอาการไอเรื้อรังสามอาทิตย์
- ปิดปากและจมูกของตนเองหรือลูกของคุณด้วยกระดาษชำระเมื่อต้องไอหรือจาม
- กำจัดกระดาษชำระที่ใช้แล้วทันที
- ล้างมือของตนเองหรือลูกของคุณด้วยน้ำและสบู่
สมาชิกในครัวเรือนเดียวกันควรได้รับยาปฏิชีวนะและวัคซีนไอกรนที่ใช้หยุดการติดเชื้อพร้อมกับคุณ
วัคซีนสำหรับโรคไอกรน
จะมีวัคซีนป้องกันโรคไอกรนสามครั้งสำหรับเด็กเล็กและทารกคือ:
- วัคซีนไอกรนในช่วงตั้งครรภ์: เพื่อป้องกันทารกระหว่างช่วงไม่กี่อาทิตย์หลังจากคลอดออกมา ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะให้วัคซีนครั้งนี้คือช่วงที่ตั้งครรภ์ 16 สัปดาห์
- วัคซีน 5-in-1: มีให้กับทารกที่อายุ 8, 12 และ 16 สัปดาห์
- วัคซีนกระตุ้น 4-in-1: วัคซีนที่ให้กับเด็กที่อายุ 3 ปี 4 เดือน
วัคซีนเหล่านี้ไม่ได้ให้ผลตลอดชีวิต แต่ก็สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อในช่วงที่เด็กมีอายุน้อยกับเด็กที่มีความอ่อนไหวต่อผลของการติดเชื้อได้
สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องเข้ารับวัคซีนตัวนี้ เว้นแต่ระหว่างการตั้งครรภ์หรือมีโรคไอกรนระบาด
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคไอกรน
ทารกและเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่าหกเดือนจะมีความอ่อนไหวต่อโรคไอกรนอย่างมาก พวกเขาจะมีความเสี่ยงต่อ:
- ภาวะขาดน้ำ
- หายใจลำบาก
- น้ำหนักลด
- ปอดบวม: การติดเชื้อที่ปอด
- ชัก
- ปัญหาไต
- สมองเสียหายที่เกิดจากการขาดออกซิเจน
- เสียชีวิต (เกิดขึ้นยากมาก) สำหรับอาการของโรคไอกรนในเด็กโตและผู้ใหญ่จะมีความรุนแรงไม่มาก แต่ก็มีความเสี่ยงประสบกับปัญหาเรื้อรังอย่างมีเลือดกำเดาออกจากการไอ ซี่โครงฟกช้ำ หรือไส้เลื่อน เป็นต้น