การทำน้ำให้สะอาดเหมาะกับการใช้บริโภคมีหลายวิธีนับตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ไม่ว่าจะเป็นการต้มให้เดือดเพื่อใช้ความร้อนฆ่าเชื้อโรคให้ตาย การกลั่นทำให้น้ำบริสุทธิ์และสะอาดที่สุด แต่กลับมีขั้นตอนยุ่งยากและค่าใช้จ่ายสูง น้ำที่ได้จึงเหมาะแก่การนำไปใช้ในวงการแพทย์ถึงจะคุ้มค่ากว่าการนำมาดื่ม ส่วนการกรองและการฆ่าเชื้อโรคก็นับว่าเป็นวิธีทำน้ำให้สะอาดอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับการนิยมอย่างสูง
วิธีทำน้ำให้สะอาดแบบ Reverse osmosis (RO)
เป็นการทำน้ำให้สะอาดด้วยการใช้วิธีอัดฉีดภายใต้แรงดันสูงผ่านเยื่อกรองน้ำที่เรียกว่า Membrane ซึ่งเป็นเยื่อพิเศษทำจากใยสังเคราะห์เซลลูโลสที่มีรูพรุนขนาดเล็ก และมีความละเอียดมากถึง 0.0001 ไมครอน เรียกว่ามีขนาดเล็กมากจนทำให้เชื้อโรค สารเคมี สารพิษ สารปนเปื้อน และแร่ธาตุต่างๆ ไม่สามารถเล็ดลอดผ่านเยื่อกรองนี้ได้ แต่มีเพียงแค่น้ำเปล่าบริสุทธิ์เท่านั้น สิ่งปนเปื้อนดังกล่าวจะถูกกำจัดออกไป โดยจะแยกคนละทางจากน้ำที่ผ่านการกรองได้ เพื่อป้องกันการสะสมของสิ่งสกปรกหรือสารตกค้างต่างๆ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
วิธีทำน้ำให้สะอาดแบบ Ultra Violet (UV)
เป็นการทำน้ำให้สะอาดโดยใช้แสงยูวีที่มีความเข้มข้นสูง สามารถฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ได้ตามมาตรฐาน แต่ยังคงมีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม ฟลูออไรด์ หรือแมกนีเซียม อีกทั้งยังเป็นแบบที่เราสามารถหาไส้กรองมาเปลี่ยนเองได้ง่าย ใช้กระแสไฟขณะทำงานแต่ไม่เปลืองไฟ ซึ่งวิธีนี้จะเหมาะกับน้ำประปามากกว่าใช้กรองน้ำจากแหล่งอื่น และเป็นระบบที่ประหยัดน้ำมากกว่าระบบ RO
วิธีทำน้ำให้สะอาดแบบ Ozone
เป็นการฆ่าเชื้อในน้ำอีกประเภทหนึ่งด้วยโอโซน ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดสี กลิ่น และความขุ่นได้ สามารถฆ่าเชื้อโรคได้มากกว่าคลอรีนถึง 1 เท่า กำจัดสารตกค้างในน้ำได้ อีกทั้งโอโซนยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เมื่อฆ่าเชื้อโรคแล้วก็จะกลายเป็นก๊าซออกซิเจนเจน จึงทำน้ำให้สะอาดและมีก๊าซออกซิเจนมากขึ้นอีกด้วย
ความแตกต่างของวิธีทำน้ำให้สะอาดทั้ง 3 วิธี
1. Reverse osmosis (RO)
- ให้น้ำดื่มที่มีคุณภาพสูงถึง 96 % เป็นน้ำที่มีความบริสุทธิ์สูงมากจนแทบไม่มีสารอะไรเหลืออยู่เลย รวมทั้งแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นก็ไม่มีด้วยเช่นกัน เหลือเพียงแค่น้ำเปล่าเท่านั้น หรือกล่าวได้ว่ามีคุณภาพเทียบเท่าน้ำกลั่น
- ไม่สามารถกำจัดสีและกลิ่นได้
- เป็นระบบที่ได้มาตรฐานสูงว่าน้ำกรองชนิดอื่นเป็นอย่างมาก
- ใช้ดื่มได้แต่รสชาติไม่ดี อีกทั้งหากดื่ม RO เป็นประจำ ร่างกายอาจได้รับแร่ธาตุน้อยจนไม่เพียงพอ
- อายุการใช้งานขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำ
2. Ultra Violet (UV)
- สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ แต่ขจัดคลอรีนไม่ได้
- กลิ่นและรสชาติของน้ำไม่เปลี่ยน ไม่มีสารตกค้าง หรือไม่ทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง
- สามารถฆ่าเชื้อโรคเฉพาะน้ำที่ผ่านก่อนการบรรจุใส่ภาชนะเท่านั้น จะไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคที่มากับภาชนะได้
- สำหรับเครื่องกรองน้ำวิธีนี้มีค่าซ่อมบำรุงต่ำ เนื่องจากเปลี่ยนไส้กรองเพียงปีละ 1 ครั้ง
- อายุการใช้งานขึ้นอยู่กับอายุของหลอดยูวี
3. Ozone
- ให้น้ำดื่มที่ไม่มีสารตกค้างในน้ำ
- รสชาติของน้ำไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนการใช้คลอรีนฆ่าเชื้อในน้ำ
- มีผลเสียคือโอโซนมักจะทำปฏิกิริยากับสารอินทรีย์ในน้ำ และอาจทำให้เกิดสารก่อมะเร็งได้ ดังนั้นการเลือกใช้เครื่องกรองน้ำชนิดนี้ ควรจำเป็นต้องมี Activated Carbon Filter เพื่อป้องกันสารก่อมะเร็งหลุดออกมาปนเปื้อนในน้ำ
- เมื่อบรรจุน้ำเข้าไปในภาชนะ โอโซนในน้ำก็จะฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในภาชนะนั้นๆ ให้ตายไปด้วย
- การซ่อมบำรุงทำได้สะดวกและมีค่าใช้จ่ายน้อย
นับว่าทั้ง 3 วิธีเป็นการทำน้ำให้สะอาดที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นหากเราจะเลือกเครื่องกรองน้ำมาใช้ ก็ควรจะมีความรู้พื้นฐานในเรื่องประเภทของเครื่องกรองน้ำด้วย ว่ามีการใช้งานที่เหมาะกับน้ำชนิดไหนและไส้กรองควรเปลี่ยนเมื่อใด เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญทั้งสิ้น เนื่องจากน้ำดื่มที่สะอาดจะขึ้นอยู่กับเครื่องกรองน้ำด้วยเช่นกัน