โรคมะเร็งเต้านมมีวิธีรักษาอยู่หลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็จะมีขั้นตอน และกระบวนการที่ซับซ้อนแตกต่างกันไป แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ เพื่อบรรเทาอาการ หรือรักษาโรคมะเร็งเต้านมให้หายได้
นอกจากนี้วิธีรักษาโรคมะเร็งเต้านมยังจะแตกต่างกันไปตามระยะของโรคด้วยว่า อยู่ในระยะร้ายแรงขนาดไหนแล้ว
ตรวจมะเร็งสำหรับผู้หญิงวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 495 บาท ลดสูงสุด 79%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ความหมาย และระยะของโรคมะเร็งเต้านม
โรคมะเร็งเต้านม (Breast Cancer) คือ โรคมะเร็งซึ่งเกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์ภายในท่อน้ำนม และต่อมน้ำนม จนเกิดเป็นก้อนมะเร็งภายในเต้านม โรคมะเร็งเต้านมแบ่งออกได้ 4 ระยะ ได้แก่
- ระยะที่ 1: เป็นระยะที่เชื้อมะเร็งลุกลามออกมาจากเนื้อเยื่อฐานรากแล้ว แต่ยังไม่กระจายออกไปที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ และมีขนาดไม่เกิน 2 เซนติเมตร
- ระยะที่ 2: เป็นระยะที่เชื้อมะเร็งมีขนาดมากกว่า 2 เซนติเมตรแต่ไม่เกิน 5 เซนติเมตร บางรายอาจมีการลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้แล้ว แต่บางรายก็ยังไม่มีการลุกลาม
- ระยะที่ 3: เป็นระยะที่ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่เกินกว่า 5 เซนติเมตรแล้ว และมีการกระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้หลายที่แล้ว
- ระยะที่ 4: เป็นระยะที่เชื้อมะเร็งได้ลุกลามไปสู่อวัยวะอื่นๆ ไปทั่วแล้ว เช่น สมอง ปอด ตับ กระดูก
โรคมะเร็งเต้านมเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่หากระยะของโรคอยู่ในขั้นรุนแรงแล้ว ก็อาจยากต่อการรักษาให้หายขาดได้ อีกทั้งผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไปนั้นล้วนมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านมได้ทั้งนั้น
ดังนั้นผู้หญิงที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจึงควรเข้ารับการตรวจมะเร็งทุกคน เพื่อจะได้รู้เท่าทันโรคมะเร็งที่อาจเกิดขึ้นโดยที่ยังไม่รู้ตัว
โดยกลุ่มผู้หญิงที่เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งเต้านมมากกว่าปกติ ได้แก่
- ผู้หญิงที่เคยมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งเต้านมมาก่อน
- อายุ โดยผู้หญิงอายุประมาณ 35-40 ปีขึ้นไป จะมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งเต้านมมากขึ้น
- ผู้หญิงที่มีประจำเดือนครั้งแรกตอนอายุน้อยกว่า 12 ปี
- ผู้หญิงที่มีภาวะอ้วน หรือน้ำหนักเกินมาตรฐาน
- ผู้หญิงที่บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ รวมถึงสูบบุหรี่เป็นประจำด้วย
- ผู้หญิงที่เคยรักษาโดยใช้วิธีฉายแสงมาก่อน
- ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่เคยรับฮอร์โมนเสริมเพื่อลดอาการของวัยหมดประจำเดือน
- ผู้หญิงที่เคยใช้ยาคุมกำเนิดในระยะยาว
อาการของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมบางรายอาจไม่แสดงออกมา แต่โดยหลักๆ ผู้ป่วยจะคลำพบก้อนเนื้อในเต้านม หรือใต้แขนใกล้กับรักแร้ ร่วมกับมีอาการหัวนมบุ๋ม มีน้ำเหลือง หรือเลือดไหลออกมาจากหัวนม ผิวเต้านมมีผื่นแดง รู้สึกแสบร้อนผิว และอ่อนเพลียอย่างหนัก
วิธีวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านม
การวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านมสามารถรักษาได้หลายวิธี เช่น
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- การคลำหาก้อนมะเร็งด้วยตนเอง
- การถ่ายภาพรังสี หรือการทำแมมโมแกรม (Diagnostic mammography)
- การใช้คลื่นความถี่สูงสำหรับถ่ายภาพเต้านม หรือการทำอัลตราซาวด์ (Ultrasound)
- การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือการทำ MRI (Magnetic Resonance Imaging: MRI)
- การผ่าตัดเพื่อนำก้อนชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา (Biopsy)
วิธีรักษาโรคมะเร็งเต้านม
วิธีรักษาโรคมะเร็งเต้านมแบ่งออกได้ 5 วิธีได้แก่
1. วิธีการผ่าตัด (Surgery)
เป็นวิธีการรักษาโดยการผ่าตัดนำก้อนมะเร็งภายในเต้านม หรือเต้านมทั้งเต้าออกไป วิธีรักษาโดยการผ่าตัดแบ่งออกได้หลายวิธี ได้แก่
- วิธีผ่าตัดเต้านมออกทั้งเต้า (Total or Simple mastectomy) รวมถึงผิวหนังเหนือหัวนม และก้อนมะเร็งด้วย
- วิธีผ่าตัดเต้านมออกเพียงบางส่วน (Breast-conserving surgery) โดยจะตัดเฉพาะส่วนที่เป็นก้อนเนื้อมะเร็ง และเนื้อเต้านมบริเวณโดยรอบก้อนมะเร็งประมาณ 1-2 เซนติเมตรไปด้วย
- วิธีผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ออกทั้งหมด (Axillary dissection) เป็นวิธีผ่าตัดเพื่อกำจัดเชื้อมะเร็งในต่อมเหลือง ผ่านการผ่านำต่อมน้ำเหลืองออกทั้งหมดเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของโรคมะเร็ง
- วิธีผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองเซนติเนล (Sentinel lymph node biopsy) เป็นวิธีผ่าตัดที่นิยมทำในผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมระยะไม่รุนแรง โดยจะเป็นการผ่าตัดเพื่อนำชิ้นเนื้อไปยืนยันว่า เชื้อมะเร็งได้มีการแพร่กระจายหรือไม่ และเพื่อตัดต่อมน้ำเหลืองที่มีเชื้อมะเร็งส่วนแรกออกไปเพื่อลดการแพร่กระจายของโรค
2. วิธีการทำเคมีบำบัด (Chemotherapy)
เรียกโดยทั่วไปว่า “การทำคีโม” เป็นการรักษาโรคมะเร็งเต้านมโดยใช้ยาซึ่งมีคุณสมบัติช่วยยับยั้ง และทำลายการเจริญเติบโตของเชื้อมะเร็งโดยเฉพาะ
ผู้ป่วยที่รักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีนี้มีโอกาสที่จะหายขาดจากโรคมะเร็งเต้านมได้ เนื่องจากตัวยาสำหรับทำเคมีบำบัดสามารถออกฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งได้ทั่วร่างกาย ต่างจากวิธีการผ่าตัดที่รักษาได้เพียงบริเวณที่ผ่าตัดเท่านั้น
ยาเคมีบำบัดแบ่งออกได้หลายสูตร และมีทั้งรูปแบบฉีด หรือรูปแบบรับประทาน ส่วนมากแพทย์จะนัดให้ผู้ป่วยมารับยาเคมีบำบัดแล้วก็กลับไปพักผ่อนที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องนอนค้างที่โรงพยาบาลแต่อย่างใด
ความถี่ในการให้ยาเคมีบำบัดแต่ละครั้งมักจะอยู่ที่ประมาณ 1-4 สัปดาห์ เป็นระยะเวลา 3-6 เดือน แต่ผู้ป่วยบางรายก็อาจให้ยานานเป็นปี ขึ้นอยู่กับระยะของโรค
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
อย่างไรก็ตาม ยาเคมีบำบัดก็สามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงบางอย่างได้ เช่น ผมร่วง เป็นแผลในปาก คอแห้ง คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย รู้สึกร้อนวูบวาบ จำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวน้อยลง
การรักษาโรคมะเร็งเต้านมสามารถส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ ในช่วงที่ต้องรับยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยโรคมะเร็งควรมีการคุมกำเนิดอย่างเคร่งครีด หรืองดมีเพศสัมพันธ์ แต่ไม่ควรใช้วิธีรับประทานยาคุมกำเนิด หรือฉีดยาคุม เพราะยาเหล่านี้สามารถส่งผลให้เซลล์มะเร็งกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง
3. วิธีการใช้รังสีรักษา (Radiotherapy)
เรียกอีกอย่างว่า “การฉายแสง” เป็นการรักษาโดยการปล่อยอนุภาครังสีที่มีพลังงานสูงเพื่อหยุดการลุกลามเจริญเติบโตของเชื้อมะเร็ง เป็นวิธีการรักษาที่มักใช้ร่วมกับการผ่าตัดเต้านมออกบางส่วน เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจแพร่กระจายออกไปให้หมด
การฉายแสงโดยปกติจะใช้เวลา 4-6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 วัน อีก 2 วันไว้สำหรับให้ผิวหนังได้พักผ่อน และเนื้อเยื่อซึ่งได้รับผลกระทบจากรังสีที่ฉายมาได้มีการฟื้นฟู
โดยผลกระทบจากการรักษาโดยการฉายแสงนั้น มักเกิดบริเวณผิวที่ได้รับรังสี เช่น ทำให้รู้สึกแสบผิว ผิวแห้ง รู้สึกคัน ผิวคล้ำแดง ปวดแสบปวดร้อน นอกจากนี้ผู้ป่วยยังต้องระมัดระวังไม่ให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวถูกแสงแดด หรือถูกความเย็นจัดๆ หากต้องการโกนขน ควรใช้เครื่องโกนไฟฟ้าแทนมีดโกน
นอกจากผลข้างเคียงเรื่องผิว การฉายแสงรักษาโรคมะเร็งเต้านมยังส่งผลกระทบให้ผู้ป่วยมีอาการข้อไหล่ติด และแขนบวมได้ ผู้ป่วยจึงอาจต้องทำกายบริหาร หรือออกกำลังกายในระหว่างรักษาไปด้วย
4. วิธีการใช้ฮอร์โมนบำบัด (Hormonal therapy)
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านมส่วนหนึ่งนั้นมาจากฮอร์โมนเพศในร่างกาย ดังนั้นจึงมีอาการรักษาอีกแบบที่แพทย์จะใช้ยาเข้ามายับยั้งฮอร์โมนซึ่งทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านม เราเรียกมันว่า “ยาต้านฮอร์โมน” ซึ่งแบ่งออกได้ 2 กลุ่ม
- ยายับยั้งการทำงานของฮอร์โมน หรือยาทาม็อกซิเฟน (Tamoxifen) ใช้ได้ทั้งในผู้ป่วยหญิงที่ยังมีประจำเดือน และหมดประจำเดือนแล้ว แต่อาจมีผลข้างเคียงเป็นอาการเลือดออกทางช่องคลอด
- ยายับยั้งการสร้างฮอร์โมน ใช้ได้ในผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้วเท่านั้น และอาจมีผลข้างเคียงต่อมวลกระดูก หรือทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนได้
โดยปกติระยะเวลาในการใช้ฮอร์โมนบำบัดจะอยู่ที่ประมาณ 5 ปี และมักไม่ได้มีอาการผลข้างเคียงใดๆ รุนแรงเกิดขึ้น
5. วิธีการใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะ (Targeted Therapy)
เป็นวิธีรักษาโดยใช้ยากลุ่มใหม่ซึ่งมีกลไกสามารถรับส่งสัญญาณกับผิวเซลล์ในเต้านมได้ เมื่อใช้ยาดังกล่าว และมีการจับสัญญาณของเซลล์มะเร็งได้แล้ว ยาก็จะเข้าไปออกฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งให้หายไป
วิธีรักษาโรคมะเร็งเต้านมด้วยวิธีนี้เป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ดี มีผลข้างเคียงน้อย แต่มีข้อจำกัดตรงที่สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยแค่บางรายเท่านั้น และยังมีค่าใช้จ่ายสูงในการรักษาด้วย
นอกจากการรักษาทั้ง 5 วิธี ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมยังต้องดูแลสุขภาพตนเองให้อยู่ในเกณฑ์ดี และแข็งแรงพอจะต่อสู้กับโรคได้อีกด้วย เช่น
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่ควรขาดอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งไปทั้งนั้น และไม่ควรอดอาหารถึงแม้จะรู้สึกไม่อยากอาหารก็ตาม
- ดื่มน้ำให้มากๆ เพราะยาบางชนิดสามารถส่งผลข้างเคียงต่อไต และกระเพาะปัสสาวะของผู้ป่วยได้ ผู้ป่วยจึงต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้อวัยวะภายในมีสารน้ำหล่อเลี้ยงเพียงพอ
- หมั่นไปตรวจความคืบหน้าของโรคถึงแม้จะเคยรักษาโรคมะเร็งเต้านมไปแล้วก็ตาม โดยบริเวณที่มักพบรอยโรคมะเร็งซ้ำได้อีก คือ บริเวณเต้านมข้างที่เคยได้รับการผ่าตัด
นอกจากนี้ผู้ป่วยควรลองตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอ็กซเรย์ปอด และกระดูก เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีการลุกลามของเชื้อมะเร็ง และตรวจดูว่า อวัยวะภายในอย่างตับ ไต ยังทำงานเป็นปกติหรือไม่
หรือทางที่ดี ผู้ป่วยควรกลับมาตรวจสุขภาพให้ครบถ้วน เพื่อให้มั่นใจว่า ร่างกายหลังการรักษายังคงแข็งแรง ไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ จากโรคเก่าทั้งนั้น
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจมะเร็งสำหรับผู้หญิง จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android