หูอื้อ (Tinnitus) เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อการได้ยินเสียงลดลง หรือได้ยินไม่ชัดเจน ผู้ป่วยจะรู้สึกเหมือนมีอะไรมาอุดหู แต่กลับได้ยินเสียงรบกวนดังขึ้นภายในหู โดยอาจจะเป็นเสียงวี้ดๆ ตุบๆ หรือเสียงอื้ออึงเหมือนเสียงลมก็ได้ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้พร้อมกันทั้ง 2 ข้าง หรือเป็นทีละข้างก็ได้
อาการหูอื้อส่วนใหญ่ไม่อันตราย แต่มักจะสร้างความรำคาญ และความลำบากในการได้ยิน แต่ถ้าหากเป็นติดต่อกันเป็นระยะเวลานานหนึ่งเดือนขึ้นไป และสาเหตุเกิดจากความผิดปกติในหูชั้นกลาง และหูชั้นใน ก็อาจรุนแรงจนถึงขั้นสูญเสียการได้ยินได้
ตรวจ รักษา หู คอ จมูก วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 854 บาท ลดสูงสุด 54%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
หูอื้อสามารถแบ่งได้ 2 ประเภทคือ ผู้ป่วยได้ยินเสียงในหูเพียงคนเดียว (Subjective tinnitus) และแพทย์สามารถได้ยินเสียงในหูด้วยเครื่องช่วยฟัง (Objective tinnitus)
สาเหตุของหูอื้อ
หูอื้อเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นบริเวณหูชั้นนอก ชั้นกลาง และชั้นใน ดังนี้
หูชั้นนอก
อาการหูอื้อที่เกิดจากหูชั้นนอก มักมีสาเหตุจากการมีขี้หูมากเกินไป เมื่อแคะหูด้วยก้านพันสำลี หรือทำกิจกรรมที่มีแรงดันบ่อยๆ เช่น ว่ายน้ำ ดำน้ำ ก็จะทำให้ขี้หูเหล่านี้ถูกดันเข้าไปจนเกิดภาวะขี้หูอุดตัน ซึ่งทำให้เกิดอาการหูอื้อนั่นเอง
หูชั้นกลาง
หูอื้อจากหูชั้นกลาง มักเกิดจากการทำงานในหูชั้นกลางผิดปกติ เช่น
- มีน้ำขังอยู่ในหูชั้นกลาง หากเป็นนานเข้าจะทำให้เกิดโรคหูน้ำหนวกได้
- ระบบความดันในหูผิดปกติ จากการขึ้นที่สูง ดำน้ำ หรือนั่งเครื่องบิน เป็นต้น
- อาการหูอื้อจากโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน มักมีอาการร่วมกับมีเสียงความถี่ต่ำในหู เช่น เสียงหึ่งๆ บางรายอาจมีอาการเวียนศีรษะ และบ้านหมุนร่วมด้วย
- มีหินปูนเกาะฐานกระดูกโกลน หรือเอ็นยึดกระดูกโกลนในหูชั้นกลางจนหดเกร็ง
- มีความดันโลหิตสูง ทำให้การสูบฉีดเลือดแรงขึ้นจนเกิดเสียงรบกวนในหูได้
- เป็นอาการจากโรคหวัด เนื่องจากท่อยูสเตเชียน (Eustachian) เกิดการติดเชื้อจนลามมาถึงหูชั้นกลาง และอาจทำให้เยื่อแก้วหูอักเสบได้
หูชั้นใน
- เกิดความเสื่อมของหูชั้นในตามช่วงอายุที่มากขึ้น และทำให้เริ่มสูญเสียการได้ยิน อาการที่พบคือ ได้ยินเสียงความถี่สูงดังอยู่ในหู เช่น เสียงวี้ดๆ
- มีเนื้อร้ายหรือเนื้องอกในช่องหู จนทำให้ได้ยินเสียงตุบๆ ในหู คล้ายเสียงเต้นของชีพจร
- เส้นประสาทหูเสื่อมจากการได้ยินเสียงดังมากๆ เช่น เสียงระเบิด เสียงในคอนเสิร์ต จนทำให้สูญเสียการได้ยินชั่วขณะ หรือที่เรียกกันว่าอาการหูดับ
สาเหตุอื่นๆ
- มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในหู เช่น แมลงเข้าหู จนทำให้การได้ยินไม่ชัดเจน และมีอาการปวดหู
- การดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่
- การใช้ยาบางชนิดในปริมาณมาก เช่น ยาแอสไพริน (Aspirin) ยาแก้แพ้ ยาขับปัสสาวะ ยาต้านเชื้อมาลาเรีย ยาปฏิชีวนะบางตัว ซึ่งอาจทำให้การได้ยินลดลง และมีอาการหูอื้อได้
- การถูกสแกนสมองด้วยเครื่องสแกนสมอง หรือเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging: MRI)
- การฉายรังสีเพื่อรักษาโรคมะเร็ง
- การติดเชื้อโรคบางชนิดที่เข้าไปทำลายประสาทของหู
เมื่อไรที่ควรไปพบแพทย์
ปกติแล้วหูอื้อมักจะมีอาการ 1-2 ชั่วโมงหรือ 1-2 วัน แต่ถ้ามีอาการหูอื้อเป็นระยะเวลานานกว่า 1 เดือนขึ้นไป หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะรุนแรง อาการบ้านหมุน ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
การรักษาอาการหูอื้อ
ในการรักษาเบื้องต้น แพทย์จะตรวจหาสาเหตุของอาการหูอื้อ หลังจากนั้นจะใช้วิธีการรักษาตามสาเหตุที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม เช่น
- หากเกิดจากภาวะขี้หูอุดตัน สามารถรักษาให้หายขาด โดยการไปพบแพทย์เพื่อดูดขี้หูออก ไม่ควรแคะหูด้วยตนเองเพราจะยิ่งทำให้ขี้หูดันลึกเข้าไปอีก หรืออาจทำให้เกิดบาดแผลและการติดเชื้อได้
- หากสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อในหู แพทย์อาจให้รับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อ หรือหากเกิดจากโรคหวัดก็ต้องรักษาเชื้อหวัดให้หายด้วยเช่นกัน
- หากเกิดจากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าหู แพทย์จะใช้เครื่องมือนำสิ่งแปลกปลอมออกมา
- หากเกิดจากน้ำขังในหู ต้องพยายามนำน้ำออกมา โดยการเอียงหูลงต่ำ และกระโดด หรือเคาะศีรษะเบาๆ เพื่อให้น้ำไหลออกมา
- หากน้ำขังในหูเป็นจำนวนมากในระยะเวลานาน แพทย์จะเจาะแก้วหู และสอดท่อ เพื่อให้น้ำไหลออกมา บางรายอาจค้างท่อเล็กๆ ไว้ แต่วิธีรักษาดังกล่าวจะทำให้ไม่สามารถว่ายน้ำ หรือดำน้ำได้ นอกจากนี้อาจรักษาด้วยการใส่บอลลูนเพื่อขยายท่อที่ตีบ ซึ่งวิธีนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
- บางสาเหตุอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด เช่น มีหินปูนเกาะที่กระดูกโกลนในหู หรือมีเนื้องอกในหู เป็นต้น
- หากเกิดหูอื้อเรื้อรัง แพทย์อาจใช้อุปกรณ์ช่วยบำบัด เช่น อุปกรณ์กลบเสียงที่ใช้สร้างเสียงสีขาว (White noise) เพื่อกลบเสียงรบกวนในหู หรือถ้ามีอาการหูตึงอาจสวมเครื่องช่วยฟัง
การดูแลรักษาหูเพื่อป้องกันอาการหูอื้อ
- ไม่แนะนำให้แคะหู หรือปั่นหูด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้ขี้หูดันลึกเข้าไปข้างใน หรืออาจทำให้แก้วหูทะลุได้ โดยปกติแล้วร่างกายจะดันขี้หูออกมาเอง ให้เช็ดออกด้วยผ้าชุบน้ำเบาๆ บริเวณหูชั้นนอกก็พอ แต่ถ้าขี้หูเยอะผิดปกติควรไปพบแพทย์เพื่อดูดขี้หูออก
- หากแมลงเข้าหู ให้ใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันพืช หยอดเข้าไปในหูให้แมลงตาย และรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการเอาออกทันที
- การสั่งน้ำมูก ควรสั่งเบาๆ และไม่ควรบีบแน่นจนเกินไป หรือใช้น้ำเกลือล้างจมูกแทน
- หากอยู่ในที่ที่เสี่ยงดัง หรือต้องทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการกระแทกที่หู เช่น ว่ายน้ำ เล่นเจ็ทสกี ให้ใส่ที่อุดรูหู (Ear plug) เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับหูได้