อาการ ปัสสาวะเล็ด หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ช้ำรั่ว (overactive bladder) คือการที่เรากลั้นปัสสาวะไว้ไม่อยู่ ทำให้มักมีปัสสาวะเล็ดลอดออกมาขณะเคลื่อนไหวร่างกาย ออกแรง ไอ จาม โดยที่เราไม่รู้ตัว หรือบางครั้งก็ปวดกลั้นไม่ได้จนปัสสาวะราด อาการแบบนี้เกิดในสาวๆ มากกว่าหนุ่มๆ เพราะผู้หญิงมีท่อปัสสาวะที่สั้นกว่าผู้ชายการมีปัสสาวะเล็ดบ่อยๆ เกิดจากกระเพาะปัสสาวะมีความไวมากกว่าปกติ กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะบีบตัวผิดเวลา หรือมีความผิดปกติของการส่งสัญญาณประสาท ทำให้มีการกระตุ้นกระเพาะปัสสาวะอยู่ตลอดเวลา และส่งผลให้มีการปัสสาวะออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ เช่น บางคนสัมผัสอากาศเย็นเพียงนิดเดียวก็ปวดปัสสาวะจนกลั้นไม่อยู่ หรือแค่ขยับตัวนิดหน่อยก็มีปัสสาวะซึมออกมาแล้ว
อาการปัสสาวะเล็ด มีแบบไหนบ้าง?
อาการปัสสาวะเล็ด หรือ ช้ำรั่ว มีอยู่หลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- มีปัสสาวะไหลซึมเกือบตลอดเวลา โดยที่เราไม่รู้ตัว และไม่รู้สึกปวดปัสสาวะเลย จนบางครั้งต้องใส่ผ้าอนามัยรองไว้เสมอ
- มีปัสสาวะเล็ดเวลาออกแรงหรือทำกิจกรรมต่างๆ เช่น วิ่ง กระโดด ยกของหนัก ไอ หรือจาม ซึ่งเป็นอาการแบบที่พบมากที่สุด
- ปวดปัสสาวะบ่อยและกลั้นไม่อยู่ คนที่อยู่ในกลุ่มนี้จะปวดปัสสาวะวันละหลายๆ ครั้ง ทั้งที่ไม่ได้ดื่มน้ำมากกว่าปกติ และเมื่อปวดปัสสาวะมากๆ ก็มักมีปัสสาวะเล็ด หรือปัสสาวะราดออกมาโดยควบคุมไม่ได้
สาเหตุที่ทำให้เกิดปัสสาวะเล็ด
ปัจจัยที่ทำให้กระเพาะปัสสาวะไวกว่าปกติจนกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เกิดได้จากหลายสาเหตุ และแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงวัย
ในวัยสูงอายุ มักเกิดจาก...
- กล้ามเนื้อผนังช่องคลอดหย่อนยาน
- ความเสื่อมของหูรูดกระเพาะปัสสาวะ
- ช่องคลอดหรือเยื่อบุท่อปัสสาวะขาดความยืดหยุ่น ซึ่งเกิดได้บ่อยในสตรีวัยหลังหมดประจำเดือน เนื่องจากขาดฮอร์โมนเพศ
- กระเพาะปัสสาวะเกิดการเคลื่อนตัวหรือเปลี่ยนมุม
ส่วนในวัยหนุ่มสาว สาเหตุมักเกิดจาก...
- มีแรงดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น จากการยกของหนักหรือเล่นกีฬาอย่างหนักเป็นประจำ
- มีน้ำหนักตัวมาก
- อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์ ทำให้กระเพาะปัสสาวะถูกเบียด
- กระบังลมหย่อน ซึ่งเกิดหลังจากคลอดบุตร
- มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การกลั้นปัสสาวะบ่อยๆ หรือดื่มน้ำน้อย ทำให้กระเพาะปัสสาวะเกิดการบีบตัวผิดปกติ
นอกจากนี้ อาจเกิดจากการส่งกระแสประสาทที่ผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้กระเพาะปัสสาวะถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา และไม่สามารถควบคุมการปัสสาวะได้ ซึ่งสาเหตุนี้พบได้ในคนทุกวัย
รักษาอาการปัสสาวะเล็ดได้อย่างไรบ้าง?
- ถ้าอาการปัสสาวะเล็ดไม่รุนแรง แนะนำให้บริหารด้วยการขมิบหูรูดบ่อยๆ วันละ 3 เวลา รอบละ 30 ครั้งเป็นอย่างน้อย หากทำเป็นประจำจะช่วยป้องกันไม่ให้กระบังลมหย่อนได้ และทำให้อาการปัสสาวะเล็ดลดลง
- รักษาโดยการใช้ยา เช่น ยาลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ โดยการใช้ยาควรเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์
- รักษาด้วยการเลเซอร์ เพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนในเนื้อเยื่อช่องคลอดมากขึ้น และทำให้ช่องคลอดกลับมากระชับและยืดหยุ่น ซึ่งต้องทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง
- รักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งใช้ในกรณีที่มีอาการมากแล้ว เช่น ปัสสาวะเล็ดบ่อยๆ หรือปัสสาวะไหลตลอดเวลา โดยจะทำการเปิดช่องท้องเพื่อยกปรับมุมของกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ
การป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด
- ฝึกขมิบหูรูดเป็นประจำเพื่อบริหารช่องคลอดให้กระชับ และป้องกันไม่ให้กระบังลมหย่อนยาน
- ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะที่มีแรงดันในช่องท้องมาก เช่น หลีกเลี่ยงการยกของหนักเป็นประจำ ดูแลสุขภาพไม่ให้มีอาการท้องผูก หรือไอจามเรื้อรัง
- หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน และควรดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อให้การขับถ่ายปัสสาวะเป็นไปตามปกติ