มะปราง (Marian plum) เป็นหนึ่งในผลไม้ฤดูร้อนที่หลายคนนิยมบริโภคและซื้อไปฝากผู้หลักผู้ใหญ่ เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีรูปลักษณ์สวยงามคล้ายไข่ไก่ มีสีเหลืองอ่อน รสชาติหวานอมเปรี้ยว
อย่างไรก็ตาม หลายคนมักเข้าใจผิดว่ามะปรางกับมะยงชิดเป็นผลไม้ชนิดเดียวกัน แต่เมื่อรับประทานกลับพบว่ามีรสชาติที่ต่างกัน จริงๆ แล้ว มะยงชิดเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ของมะปราง
นอกจากมะยงชิดแล้ว ยังมีมะปรางเปรี้ยวและมะปรางหวาน ซึ่งทั้ง 3 สายพันธุ์มีรสชาติแตกต่างกัน
ทำความรู้จักมะปราง
มะปราง เป็นผลไม้พื้นบ้านชนิดหนึ่งที่นิยมบริโภคภายในประเทศและส่งออกไปขายต่างประเทศ
มะปราง เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ 15-30 เมตร มีใบมาก รูปร่างคล้ายใบมะม่วง แต่มีขนาดเล็กกว่า ไม่มีการผลัดใบ มีกิ่งก้านแตกแขนงจนทึบ และรากแก้วที่แข็งแรงมาก จึงเป็นพืชที่สามารถทนความแห้งแล้งได้ดีได้ดี
ช่อดอกของมะปราง มีลักษณะเป็นช่อแตกแขนง ในช่อมีจำนวนดอกประมาณ 180 ดอกต่อช่อ เมื่อกลายเป็นผล ผลอ่อนจะมีสีเขียว ผลแก่จะมีสีเหลืองหรือเหลืองอมส้ม ขนาด 3-10 เซนติเมตร โดยจะมีทั้งทรงกลมและรูปไข่ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
มะปรางกับมะยงชิดแตกต่างกันอย่างไร?
มะยงชิดเป็นผลไม้ที่อยู่ในสายพันธุ์มะปราง โดยในประเทศไทยจะแบ่งสายพันธุ์ของมะปรางตามรสชาติได้ 3 สายพันธุ์ คือ มะปรางเปรี้ยว มะปรางหวาน และมะยงชิด มีรายละเอียดดังนี้
- มะปรางเปรี้ยว หรือที่ชาวสวนนิยมเรียกว่า กาวาง เป็นผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยวจัดแม้ว่าจะสุกแล้วก็ตาม นิยมนำไปแช่อิ่มหรือดองเพื่อรับประทาน
- มะปรางหวาน มีผลขนาดเล็กถึงใหญ่ รสชาติหวานจัด เมื่อรับประทานแล้วอาจทำให้เกิดอาการไอ ระคายคอ หรือคันคอได้
- มะยงชิด มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ผลใหญ่ เมล็ดเล็ก หากมีรสชาติเปรี้ยวนำหวานมากๆ จะเรียกว่า มะยงห่าง
คุณค่าทางโภชนาการของมะปราง
มะปรางสุก 100 กรัม ให้พลังงานและสารอาหารดังนี้
- พลังงาน 53 กิโลแคลอรี
- โปรตีน 0.4 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 12.8 กรัม
- ใยอาหาร 1.5 กรัม
นอกจากนี้มะปรางยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุสำคัญ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม เหล็ก ไทอามิน ไรโบพลาวิน และไนอาซิน
ประโยชน์ของมะปราง
มะปรางเป็นผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีนและวิตามินซีสูง ซึ่งสารดังกล่าวมีประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้
1. มะปรางกับเบต้าแคโรทีน
ผลการศึกษาของสำนักโภชนาการ กรมอนามัย พบว่า มะปรางหวานและมะยงชิด จัดเป็น 1 ใน 10 ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) สูงที่สุด
เบต้าแคโรทีนนั้นจัดอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ซึ่งเป็นสารที่มีหน้าที่เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ยับยั้งการกลายพันธุ์ และป้องกันเนื้องอก
ประโยชน์หลักๆ ของเบต้าแคโรทีนคือ ช่วยบำรุงสายตา ชะลอความแก่ บำรุงผิวพรรณ และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสูงเป็นประจำยังช่วยลดความเสี่ยงการเสื่อมของตาในผู้สูงอายุ ลดการเกิดต้อกระจก ลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งบางชนิด และโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย
2. มะปรางกับวิตามินซี
มะปรางเป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่นๆ ซึ่งวิตามินซีนั้น เป็นหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่มีประโยชนต่อระบบต่างๆ ในร่างกายมากมาย เช่น
- ช่วงสังเคราะห์คอลลาเจน (Collagen) คาร์นิทีน (Carnitine) และสารเหนี่ยวนำกระแสประสาท (Neurotransmitter)
- ช่วยเปลี่ยนวิตามิอีที่ถูกใช้ในขบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ (Vitamin E radical) ให้กลับมาอยู่ในรูปวิตามินอีตามเดิม
- มีส่วนช่วยในการซ่อมและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อร่างกาย ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
- การรับประทานวิตามินซีเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นหวัด และช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาในการเป็นหวัดได้ แต่หากมาเริ่มรับประทานตอนเป็นหวัดแล้วจะไม่สามารถช่วยได้
แนะนำของว่างจากมะปราง
มะปรางนอกจากจะรับประทานสดๆ แล้ว ยังเป็นที่นิยมนำไปแช่อิ่มหรือลอยแก้วอีกด้วย ซึ่งมีขั้นตอนในการทำดังนี้
1. มะปรางแช่อิ่ม
วัตถุดิบในการทำมะปรางแช่อิ่ม ได้แก่
- มะปรางเปรี้ยวดิบ 1.5 กิโลกรัม
- น้ำเกลือ (เกลือ 1 ถ้วยตวงต่อน้ำ 2 ลิตร)
- น้ำเชื่อม (น้ำตาล 1/2 กิโลกรัมต่อน้ำเปล่า 1 ลิตร ต้มกับใบเตย)
ขั้นตอนในการทำมะปรางแช่อิ่ม มีดังนี้
- นำมะปรางมาหั่นเป็นแว่นบางๆ นำไปแช่กับน้ำเกลือที่เตรียมไว้ แช่ทิ้งไว้ 1 คืน (สีจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง)
- นำมะปรางที่แช่น้ำเกลือ 1 คืน ไปล้างน้ำเกลือ และบีบน้ำออกพอหมาดๆ
- นำมะปรางไปแช่กับน้ำเชื่อมที่เตรียมไว้ แล้วนำไปแช่ตู้เย็น 1 คืน เป็นอันเสร็จ
2. มะปรางลอยแก้ว
วัตถุดิบในการทำมะปรางลอยแก้ว ได้แก่
- มะปรางหวานหรือมะยงชิด 12-15 ลูก
- น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง
- น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
- เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
- ใบเตย 4-5 ใบ
- น้ำแข็งป่น
ขั้นตอนในการทำมะปรางลอยแก้ว มีดังนี้
- ปอกเปลือกและคว้านเมล็ดของมะปรางหวานหรือมะยงชิดให้เรียบร้อย หากชอบรสหวานอมเปรี้ยว แนะนำให้เลือกผลที่ตรงขั้วยังมีสีเขียวอยู่
- ทำน้ำเชื่อมด้วยการใส่น้ำเปล่า น้ำตาล เกลือป่น และใบเตย เคี่ยวไฟอ่อนจนละลายเข้าด้วยกัน ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น
- นำมะปรางหรือมะยงชิดที่เตรียมไว้ใส่ถ้วย ราดด้วยน้ำเชื่อม ใส่น้ำแข็งป่น เป็นอันเสร็จ
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วจะเห็นได้ว่า มะปรางเป็นผลไม้ที่มีทั้งรูปลักษณ์สวยงาม น่ารับประทาน และมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าซื้อมารับประทานในช่วงหน้าร้อนนี้ เพราะนอกจากจะอร่อยแล้ว ยังช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรงช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานผลไม้ที่มีรสหวานในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้
ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพ เปรียบเทียบราคา โปรโมชันล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android