เลือดกำเดาไหลควรทำอย่างไร ก้มหรือเงย? ประคบร้อนหรือประคบเย็น? เลือดถึงจะหยุดไหล HonestDocs มีคำตอบ
เกี่ยวกับเลือดกำเดา
เลือดกำเดา (Nosebleeds หรือ Epistaxis) เป็นอาการที่ดูน่ากลัว แต่ก็มักไม่ใช่สัญญาณของภาวะร้ายแรงใดๆ และมักรักษาได้เองที่บ้าน เลือดกำเดาอาจไหลออกจากรูจมูกเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง ปริมาณมากหรือน้อยก็ได้ สามารถกินระยะเวลาตั้งแต่ไม่กี่วินาทีจนถึง 10 นาทีขึ้นไป
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
อาการเลือดกำเดาออกร้ายแรงหรือไม่?
เลือดกำเดามักไม่ร้ายแรง แต่หากเกิดขึ้นบ่อยหรือมีเลือดออกมากอาจบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่น ๆ ได้ อย่างเช่นภาวะความดันโลหิตสูงหรือภาวะลิ่มเลือดผิดปรกติซึ่งควรต้องเข้ารับการตรวจสอบทันที
การเลือดออกมาเป็นระยะเวลานานยังอาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ได้อย่างโรคโลหิตจาง เป็นต้น
หากแพทย์คาดว่าคุณมีสาเหตุทางสุขภาพร้ายแรงอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดอาการเลือดกำเดาออก พวกเขาอาจส่งคุณไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านหู, จมูก, และลำคอ (ENT) เพื่อรับการทดสอบเพิ่มเติม
สาเหตุของอาการเลือดกำเดาไหล
เลือดกำเดาสามารถเริ่มไหลจากภายในจมูกส่วนหน้า (Anterior) หรือจากหลังจมูก (Posterior) ก็ได้ การไหลออกมาจากจมูกสองส่วนมีสาเหตุแตกต่างกัน ดังนี้
- เลือดกำเดาออกจากภายในจมูกส่วนหน้า : อาการเลือดกำเดาออกจากภายในจมูกส่วนหน้ามักจะเกิดขึ้นกับเด็ก และมักไม่ใช่สัญญาณของภาวะร้ายแรง สามารถทำการรักษาได้เองที่บ้าน สาเหตุของอาการเลือดกำเดาไหลจากจมูกส่วนหน้ามักมาจากเส้นเลือดฝอยในจมูกส่วนนี้ถูกกระทบกระเทือน โดยอาจเกิดจากการแคะจมูก โดยเฉพาะหากคุณเกาภายในจมูกด้วยเล็บยาว สั่งน้ำมูกแรงเกินไป ใช้น้ำยาล้างจมูกบ่อยเกินไป บางครั้งเกิดเลือดกำเดาไหลจากภายในจมูกส่วนหน้าก็เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ เช่น คัดจมูกหรือจมูกตันจากการติดเชื้ออย่างหวัดหรือไข้หวัดใหญ่บ่อยครั้ง เป็นไซนัสอักเสบหรือภาวะติดเชื้อที่โพรงอากาศภายในกระดูกแก้มและหน้าผาก ไข้ละอองฟางหรือภูมิแพ้อื่นๆ
- เลือดกำเดาออกจากหลังจมูก : อาการเลือดกำเดาออกจากหลังจมูกนี้ มักเกิดกับผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก และอาจมีความรุนแรงกว่าอาการเลือดกำเดาจากจากภายในจมูกส่วนหน้า ทำให้มีเลือดออกปริมาณมาก จนอาจต้องพึ่งกระบวนการทางการแพทย์รักษา สาเหตุของเลือดกำเดาไหลออกจากหลังจมูกนี้ มาจากเลือดออกจากสาขาแยกย่อยของหลอดเลือดแดงที่ส่งเลือดจากพื้นที่ภายในจมูกกับเพดานปากกับสมอง (Nasal Cavity) เลือดกำเดาไหลออกจากหลังจมูกอาจเกิดจากการล้มหรือเกิดการกระแทกที่ศีรษะ จมูกหัก เป็นผลข้างเคียงจากการผ่าตัดจมูก หรือเป็นอาการที่เกิดเนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ เช่น เป็นโรคเลือดไม่แข็งตัว โรคหลอดเลือดแข็ง มีเนื้องอกในโพรงจมูก มีภาวะหลอดเลือดพองจากกรรมพันธุ์ เป็นโรคลูคีเมีย หรืออาจเป็นผลจากการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน ซึ่งทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
- ผู้มีความเสี่ยงต่ออาการเลือดกำเดาไหล
- เลือดกำเดาไหลสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไป และผู้คนส่วนใหญ่จะมีอาการนี้เป็นครั้งคราวอยู่แล้ว แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่มักประสบกับอาการนี้มากกว่าผู้อื่น เช่น
- เด็กที่อายุระหว่าง 2-10 ปี
- ผู้สูงอายุ
- ผู้หญิงมีครรภ์
- ผู้ที่ใช้ยาแอสไพริน (Aspirin) หรือยาต้านเลือดแข็งตัว (Anticoagulants) อย่างวาร์เฟริน (Warfarin)
- ผู้ที่มีปัญหาภาวะลิ่มเลือดผิดปรกติอย่างฮีโมฟีเลีย (Hemophilia) หรือโรคเลือดไหลไม่หยุด
- การเลือดออกอาจเกิดขึ้นอย่างรุนแรงหรือยาวนานได้ หากคุณใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด มีภาวะเลือดออกผิดปรกติ หรือมีความดันโลหิตสูง
- เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์
- ปกติแล้วเลือดกำเดาไหลสามารถหายได้เอง แต่หากผู้ป่วยเข้าข่ายดังต่อไปนี้ ควรพบแพทย์
- เป็นผู้อยู่ในระหว่างใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulant) อย่างวาร์ฟาริน (Warfarin) หรือมีภาวะลิ่มเลือดผิดปกติ อย่างโรคเลือดไหลไม่หยุด (Haemophilia)
- เป็นผู้ที่มีอาการของโรคโลหิตจาง (Hnaemia) เช่น ใจสั่น หายใจลำบาก ผิวซีด
- เป็นเด็กอายุต่ำกว่าสองขวบ
- มีอาการเลือดกำเดาไหลแบบเป็นๆ หายๆ บ่อยครั้ง
- และหากอาการรุนแรงหรือมีผลข้างเคียงจากเลือดกำเดาไหล เช่นกรณีดังนี้ คุณควรขอให้คนอื่นพาไปโรงพยาบาลหรือเรียกรถพยาบาลมารับ
- มีเลือดออกนานกว่า 20 นาที
- เลือดออกมากและเสียเลือดไปมาก
- มีอาการหายใจลำบาก
- กลืนเลือดไปปริมาณมากจนทำให้อาเจียน
- เลือดกำเดาที่ไหลออกมาเกิดหลังจากบาดเจ็บร้ายแรง เช่น รถชน
การรักษาอาการเลือดกำเดาไหล
เลือดกำเดาส่วนมากจะหยุดไหลไปเองแม้ไม่ได้รับการรักษา แต่ในบางครั้งหากมีอาการรุนแรงหรือมีอาการบาดเจ็บอื่นๆ ร่วมรด้วยก็อาจต้องได้รับการรักษา
สิ่งที่สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเองเมื่อเลือดกำเดาไหล มีดังนี้
- นั่งลงและบีบจุดอ่อนนุ่มของจมูกที่อยู่เหนือรูจมูกให้แน่นๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 10-15 นาที
- เอนตัวไปข้างหน้าและหายใจทางปาก การทำเช่นนี้จะช่วยให้เลือดไหลออกจากจมูก แทนที่จะไหลลงคอ
- ใช้ถุงน้ำแข็งหรือถุงผักแช่แข็งประคบบนดั้งจมูก
- นั่งให้ตรงแทนการนอน เพื่อช่วยลดแรงดันเลือดบริเวณจมูกลง ส่งผลให้เลือดไหลน้อยลง
หากอาการดูย่ำแย่จนต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล คุณจะได้รับประเมินความรุนแรงและสาเหตุของอาการที่เป็น ซึ่งมักจะเป็นการมองเข้าไปในจมูก วัดความดันและชีพจร ตรวจเลือด รวมถึงสอบถามอาการอื่นๆ ร่วมด้วย จากนั้นแพทย์มักดำเนินการดังนี้
- จี้จุดที่เลือดออกด้วยซิลเวอร์ไนเตรต : หากสามารถระบุตำแหน่งที่เลือดออกได้ แพทย์อาจใช้วิธีจี้จุดนั้นด้วยแท่งสารเคมีซิลเวอร์ไนเตรต (Silver Nitrate) โดยจะมีการพ่นสเปรย์ยาชาเฉพาะจุดเข้าจมูกเพื่อทำให้ชาก่อนล่วงหน้า วิธีนี้กินเวลาเพียง 10 วินาทีเท่านั้น
- ยัดจมูกด้วยผ้าก๊อซหรือฟองน้ำ : หากวิธีจี้ไม่ได้ผล หรือแพทย์ไม่สามารถระบุตำแหน่งที่เลือดออกได้ พวกเขาจะแนะนำให้คนไข้ยัดผ้าก๊อซหรือฟองน้ำสำหรับซับเลือดกำเดาเข้าไปหยุดการไหลของเลือด วิธีนี้มักดำเนินการหลังการพ่นสเปรย์ยาชาใส่จมูกก่อน และต้องทิ้งผ้าก๊อซหรือวัสดุปิดแผลไว้ในจมูกนาน 24-48 ชั่วโมง ก่อนที่แพทย์จะเป็นผู้นำออกมาเอง ระหว่างนั้นผู้ป่วยต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อเฝ้าระวังอาการ
- วิธีการรักษาแบบอื่นๆ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านหู จมูก และลำคอ : ได้แก่ จี้ไฟฟ้าเพื่อหยุดเลือด ถ่ายเลือดเพื่อชดเชยเลือดที่สูญเสียไป ใช้ยาช่วยทำให้เลือดเป็นลิ่ม ทำการผ่าตัดผูกหลอดเลือดในจมูก
- การป้องกันเลือดกำเดาไหล
- มีหลายสิ่งที่คุณสามารถปฏิบัติ เพื่อป้องกันการเกิดเลือดกำเดาไหลได้ ดังนี้
- เลี่ยงการแคะจมูก และตัดเล็บมือให้สั้นอยู่เสมอ
- ระมัดระวังอย่างสั่งน้ำมูกแรงเกินไป
- หากจมูกแห้งเกินไป สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเจลช่วยให้ความชุ่มชื้น
- สวมเครื่องป้องกันศีรษะ ขณะทำกิจกรรมที่อาจสร้างความบาดเจ็บกับศีรษะหรือจมูก
- หากใช้น้ำยาหรือชุดอุปกรณ์ล้างจมูก ควรปฏิบัติตามฉลากวิธีการใช้อย่างเคร่งครัด และไม่ใช้บ่อยเกินไป