เมื่อลูกทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมหรือมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนอาจมีวิธีการลงโทษที่แตกต่างกัน
ในอดีตมีสุภาษิตคำพังเพยที่กล่าวว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” ซึ่งเป็นวิธีการลงโทษที่ใช้กันบ่อยๆ
การลงโทษโดยวิธีนี้อาจเป็นแนวทางการแก้พฤติกรรมที่คุณพ่อคุณแม่บางบ้านเลือกใช้เมื่อเห็นว่าลูกมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม และอยากให้รู้เรียนรู้ว่าสิ่งใดไม่สมควรทำ แต่แม้จะเห็นว่าลูกหยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนั้นทันที นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าลูกจะไม่ทำซ้ำอีก
ยิ่งกว่านั้น เมื่อโตขึ้นลูกอาจใช้ความรุนแรงมากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ
การตีลูกเป็นการลงโทษที่ถูกต้องหรือไม่?
วิธีจัดการกับพฤติกรรมหรือเพื่อฝึกวินัยเด็กนั้น มักจะใช้การปรับพฤติกรรมเพื่อช่วยให้เกิดพฤติกรรมที่ดีขึ้น
มีหลายวิธีที่สามารถใช้สำหรับการปรับพฤติกรรมได้ เช่น การให้แรงเสริม (Reinforcement) การลงโทษ (Punishment) การเพิกเฉย (Extinction)
มีคุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูจำนวนไม่น้อยที่เลือกใช้การลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นการดุด่าหรือเฆี่ยนตี เพราะเชื่อว่าจะทำให้พฤติกรรมที่ไม่ดีหายไป เด็กจะจดจำเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ และไม่กล้าทำซ้ำอีก
ซึ่งบางครั้งคุณพ่อคุณแม่หรือผู้เลี้ยงดูก็ใช้เพียงแค่มือในการตี แต่บางคนก็ใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น ไม้ ไม้แขวนเสื้อ หรือเข็มขัด เพื่อให้ลูกรู้สึกกลัวและจดจำ
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลากหลายวิธีที่คุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูสามารถใช้เพื่อปรับพฤติกรรมและฝึกวินัยเด็กได้เช่นกัน
ตีลูกแล้วลูกฟังมากขึ้นไหม?
ในต่างประเทศมีการศึกษาเพื่อดูความสัมพันธ์ระหว่างคู่พ่อแม่กับลูก เมื่อเกิดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น
พบว่าคู่พ่อแม่จะเริ่มต้นโดยการใช้คำพูดตักเตือนลูก เมื่อลูกไม่ยอมทำตาม หลังจากนั้นประมาณ 30 วินาทีจะใช้วิธีการลงโทษทางกายโดยการตี ลูกจะหยุดพฤติกรรมดังกล่าวทันที
ซึ่งพ่อแม่จะเห็นว่าการลงโทษด้วยการตี ทำให้ลูกหยุดฟังและยอมทำตามมากขึ้น แต่นั่นก็เป็นผลดีเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะการเรียนรู้ด้วยวิธีการดังกล่าวเกิดจากความกลัวของลูก แล้วสุดท้ายไม่เกิดการเรียนรู้ และไม่เกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของสมองเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ในอนาคตต่อไป
การตีลูกทำให้ลูกจดจำและไม่กล้าทำเรื่องไม่ดีอีกจริงหรือไม่?
เด็กจะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างดี โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม อบอุ่น และรู้สึกปลอดภัย
การเรียนรู้นั้นๆ จะทำให้สมองจดจำเหตุการณ์ได้ยาวนาน และสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการแก้ปัญหาเมื่อเจอกับสิ่งใหม่ๆ ได้
อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้จากความเจ็บปวดผ่านความกลัวก็อาจทำให้เด็กจดจำสิ่งต่างๆ ได้เช่นเดียวกัน แต่โครงสร้างสมองและเครือข่ายเส้นประสาทจะพัฒนาไม่เต็มที่ เมื่อเจอเหตุการณ์หรือสิ่งใหม่ๆ ผ่านเข้ามา อาจไม่สามารถปรับตัวยืดหยุ่นต่อปัญหาต่างๆ และทำพฤติกรรมไม่ดีซ้ำๆ ได้
การตีลูกให้ประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน?
แม้การลงโทษลูกทางกายโดยวิธีการตีจะเป็นที่ยอมรับและใช้กันหลากหลายในอดีต และพบว่าคุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูส่วนมากจะผ่านการเลี้ยงดูและการลงโทษด้วยวิธีการตีเช่นเดียวกัน
แต่ปัจจุบันมีหลายการศึกษาทั่วโลกที่แสดงให้เห็นว่าไม่พบประโยชน์และข้อดีของการลงโทษทางกาย ไม่ว่าจะเป็นการเฆี่ยนตีด้วยมือหรือใช้อุปกรณ์ต่างๆ ตามส่วนของร่างกายเพื่อให้ทำให้เกิดความเจ็บปวดหรือจดจำ
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในต่างประเทศพบว่า เด็กที่ถูกทำโทษด้วยการตีมากกว่า 2 ครั้งต่อเดือน ที่อายุ 3 ปี จะมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวเมื่ออายุ 5 ปี และเมื่อติดตามเด็กกลุ่มนั้นไปจนอายุ 9 ปี ก็พบว่ามีปัญหาพฤติกรรมก้าวร้าว ต่อต้าน มีการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาและขาดการควบคุมตนเองมากขึ้น
การลงโทษทางกายโดยการตียังส่งผลต่างๆ ดังนี้
- หากมีการลงโทษโดยการตีในเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 เดือน พบว่าก่อให้เกิดการบาดเจ็บทางกายที่รุนแรง
- การลงโทษโดยการตีลูกซ้ำๆ นำไปสู่พฤติกรรมก้าวร้าว และส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก
- การลงโทษโดยการตีเพิ่มพฤติกรรมก้าวร้าวในเด็กวัยอนุบาลและวัยประถมมากขึ้น
- การลงโทษโดยการตีเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาทางสภาพจิตใจ อารมณ์ และการเรียนรู้เมื่อโตขึ้น
- การลงโทษทางกายหรือการใช้ความรุนแรงสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการพยายามฆ่าตัวตาย การดื่มสุราอย่างหนัก และการใช้สารเสพติดเมื่อโตขึ้น
คุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูจะเห็นว่า การลงโทษทางกายโดยการตีส่งผลกระทบด้านลบอย่างมาก ต่อการพัฒนาทั้งสติปัญญาและอารมณ์ของลูก
ยังมีอีกหลากหลายวิธีในการทดแทนการลงโทษลูกด้วยวิธีการตี ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการปรับพฤติกรรม อบรมสั่งสอนและฝึกวินัยลูกได้
ไม่ตีลูกแล้วควรทำอะไรแทน?
การสอนลูกเพื่อให้ลูกมีพฤติกรรมที่ดี เป็นหน้าที่หลักที่สำคัญของคุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดู ซึ่งหน้าที่นี้จะต้องอาศัยเวลาและความอดทนเพื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงและเพื่อให้ลูกมีพฤติกรรมดีๆ
วิธีการปรับและส่งเสริมพฤติกรรมด้วยวิธีการสร้างวินัยเชิงบวกเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและมีการศึกษามายาวนานว่าเป็นวิธีการเลี้ยงลูกอย่างเหมาะสม โดยมีคำแนะนำดังนี้
1. คุณพ่อคุณแม่ควรทำให้ดูเป็นตัวอย่างและบอกสิ่งที่ควรทำ
เมื่อลูกทำผิด ลูกควรได้รับการสอนในสิ่งที่ถูกต้องทดแทน โดยใช้ท่าทีที่สงบ และไม่ดุด่าลูกโดยใช้คำพูดที่รุนแรง คุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกปฏิบัติตาม
2. มีข้อจำกัดชัดเจน
ตั้งกฏ กติกาอย่างชัดเจน และปฏิบัติตามกฏที่ตั้งไว้ให้เหมาะสมตามช่วงอายุและความเข้าใจของลูก
3. บอกสิ่งที่จะเกิดขึ้น หากลูกไม่ปฏิบัติตาม
คุณพ่อคุณแม่ควรพูดให้ชัดเจนว่าหากลูกไม่ทำตามจะเกิดอะไรขึ้น เช่น “หากหนูไม่เก็บของเล่นให้เรียบร้อย แม่จะไม่ให้หนูเล่นของเล่นวันนี้ทั้งวัน”
และคุณพ่อคุณแม่ต้องปฏิบัติตามที่พูดเช่นนั้นกับลูกเสมอ ที่สำคัญ ไม่ควรใช้วิธีการลงโทษโดยงดสิ่งที่ลูกจำเป็นต้องได้รับในแต่ละวัน เช่น อาหารและนม เป็นต้น
4. ให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นและความรู้สึก
การรับฟังลูก เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ความสัมพันธ์ของคุณพ่อคุณแม่และลูกไปในทางที่ดี และยังเป็นการส่งเสริมการปรับพฤติกรรมที่ดีด้วย
5. ชมลูกเมื่อลูกทำดี
คุณพ่อคุณแม่หรือผู้เลี้ยงหลายคนมักเพ่งเล็งพฤติกรรมที่ไม่ดีของลูกเป็นสำคัญ จนบางครั้งหลงลืมชื่นชมพฤติกรรมที่ดีๆ
ความจริงเวลาลูกทำดีหรือทำพฤติกรรมที่เหมาะสม คุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูควรชื่นชมและให้ความสำคัญทันที เช่น “หนูเก่งมากเลย ที่หนูเล่นของเล่นเสร็จแล้วเก็บของเล่นเข้าที่ให้เรียบร้อย” เป็นต้น
6. ให้ลูกเรียนรู้ผลของการกระทำด้วยตนเอง
หากกิจกรรมหรือพฤติกรรมที่ลูกกระทำไม่ได้ส่งผลกระทบอันตรายหรือเป็นเรื่องที่รุนแรงเกินไป บางครั้งคุณพ่อคุณแม่หรือผู้เลี้ยงดูควรปล่อยให้เด็กเรียนรู้ผลของการกระทำที่จะเกิดขึ้น เพื่อพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น
เช่น หากลูกโยนขนมลงพื้น คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องทำอะไร สุดท้ายลูกจะไม่มีขนมกิน (คุณพ่อคุณแม่ห้ามให้ขนมชิ้นใหม่ หรือของกินอื่นๆ ทดแทน) หรือ ถ้าลูกเล่นของเล่นชิ้นโปรดอย่างไม่ระวังจนเสียหาย ของเล่นพัง สุดท้ายลูกจะไม่มีของเล่นชิ้นโปรดเล่น
7. เตรียมตัวก่อนเกิดพฤติกรรมที่ไม่ดี
คุยกับลูกก่อนว่าหากลูกทำพฤติกรรมที่ไม่ดีหรือไม่เหมาะสม จะมีวิธีการจัดการกันอย่างไร ให้ลูกช่วยหาวิธีจัดการตนเองร่วมกัน
8. หันเหความสนใจทำอย่างอื่น
บางครั้งลูกอาจมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเพราะเบื่อ ไม่มีอะไรทำ หรือไม่รู้ว่าทำอะไรจะดีกว่าเดิม ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูควรเฝ้าสังเกตสิ่งเหล่านี้ และหากิจกรรมสนุกๆ หรือสิ่งแปลกใหม่ให้ลูกได้เล่นและเรียนรู้
9. ใช้วิธีการลงโทษแบบอื่น ๆ
ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงหรือตีลูก อาจใช้วิธี Time-out หรือแยกเด็กออกจากสิ่งที่กระตุ้น หรือความสนใจจากสิ่งรอบตัวชั่วคราว เป็นต้น