วัยเด็ก เป็นช่วงเวลาที่สำคัญต่อการเรียนรู้พัฒนา และเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต ผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพมีความพร้อมและรู้จักหน้าที่ของตนจะสามารถสร้างสังคมที่น่าอยู่ได้
อย่างไรก็ตาม ชีวิตวัยเด็กในแต่ละคนแตกต่างกัน และชีวิตวัยเด็กก็ส่งผลต่อวัยผู้ใหญ่ในหลากหลายแง่มุมเช่นเดียวกัน
ชีวิตในวัยเด็ก คืออะไร หมายความว่าอย่างไร?
ชีวิตในวัยเด็ก ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการสร้างพื้นฐานการเรียนรู้บุคลิกภาพและความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ
ชีวิตในวัยเด็กจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับพัฒนาการและความพร้อมของแต่ละวัย หากคุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูเข้าใจช่วงวัยและพัฒนาการแต่ละด้านของลูก จะสามารถส่งเสริมพัฒนาและให้การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับลูกได้
จากอนุสัญญญาว่าด้วยสิทธิเด็กบอกถึงนิยามว่า เด็ก หมายถึงบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และเด็กทุกคนมีสิทธิได้รับการดูแลเพื่อประโยชน์สูงสุดที่ควรจะได้รับ โดยครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด 4 ด้าน คือ สิทธิในการอยู่รอด สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง สิทธิที่จะได้รับการพัฒนา และสิทธิในการมีส่วนร่วม หากเด็กได้รับการดูแลครอบคลุมครบทุกด้าน ร่วมกับได้รับความเอาใจใส่จากผู้เลี้ยงดู เด็กก็จะสามารถเรียนรู้เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพที่ตนเองมี
นอกจากนี้ ชีวิตในวัยเด็กยังต้องอาศัยประสบการณ์การเรียนรู้ที่ผู้ใหญ่มอบให้ และฝึกฝนเพื่อนำไปใช้ในอนาคตต่อเนื่อง
ประสบการณ์ที่เด็กเรียนรู้จะช่วยเสริมสร้างเครือข่ายเส้นใยประสาทในสมอง ให้มีการติดต่อประสานงานกัน มีการสร้างจุดเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ ที่เรียกว่า ไซแนปส์ (Synapse) เพื่อให้สมองเกิดการเรียนรู้มากขึ้น
ยิ่งเด็กได้รับประสบการณ์ในชีวิตที่ดีมากเท่าไร เครือข่ายโยงใยในสมองจะสื่อสารส่งสัญญาณกันมากขึ้นเท่านั้น จุดที่ได้รับการฝึกฝนเรียนรู้จะยิ่งสานต่อแน่นขึ้น ส่วนตำแหน่งที่ไม่ถูกใช้งานจะถูกตัดแต่งเพื่อให้โครงสร้างเส้นใยประสาททำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ชีวิตในวัยเด็ก สำคัญแค่ไหน จำเป็นต้องใส่ใจหรือไม่?
ประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็กช่วยให้เด็กเรียนรู้สิ่งต่างๆ และพัฒนาความสามารถของตนเองอย่างต่อเนื่อง
ช่วงในวัยเด็กเล็ก สมองกำลังเรียนรู้และพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ สมองเด็กคาดหวังการกระตุ้นที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดการเจริญและพัฒนา (Experience expectant learning) เช่น การมองเห็นภาพ การได้ยินเสียง การรับรู้สัมผัสจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว
ดังนั้นช่วงเวลาเด็กเล็ก คุณพ่อคุณแม่ควรมอบประสบการณ์ที่สมองเด็กพึงได้รับ ดังนี้
- วัยทารก ควรได้รับการกระตุ้นโดยกระบวนการเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัส เช่น รับภาพผ่านดวงตา รับเสียงผ่านหู รับกลิ่นผ่านจมูก รับรสผ่านลิ้น รับความรู้สึกการสัมผัสผ่านผิวหนังและระบบสัมผัสต่างๆ ในร่างกาย
- วัยเด็กเล็ก ลูกควรได้รับการพัฒนาทางด้านภาษาผ่านการพูดคุย มองหน้า สบตา มีการสื่อสารปฏิสัมพันธ์กับผู้เลี้ยงดูตลอดเวลา หากคุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูอยากให้ลูกเข้าใจและสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ก็ควรส่งเสริมให้ลูกเรียนรู้ผ่านกิจวัตรประจำวันหรือการเล่นในช่วงเวลานี้
เมื่อลูกเติบโตขึ้น ประสบการณ์ที่ลูกเรียนรู้จะผ่านการฝึกฝนและผ่านเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต (Experience dependent learning) โดยมีผู้ใหญ่คอยให้คำแนะนำช่วยเหลือและขัดเกลาเพื่อให้ลูกเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่
จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกใช้ชีวิตในวัยเด็กเหมาะสมแล้ว?
คุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูทุกคนคงหวังเช่นเดียวกันว่า เมื่อลูกเติบโตขึ้นจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขและเอาตัวรอดจากภัยอันตรายรอบตัว
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ควรได้รับการฝึกฝนและพัฒนาตั้งแต่เล็กๆ เพื่อให้ลูกมีทักษะชีวิตที่ดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อโตขึ้น เด็กจะยังคงต้องการการดูแลเอาใจใส่และมีแบบอย่างเพื่อทำตามจากผู้ปกครองของตน รวมถึงเรียนรู้ทักษะชีวิตที่สำคัญ เช่น
- ความฉลาดทางสติปัญญา
- ความฉลาดทางอารมณ์
- ความสามารถในการจัดการกับปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรค
- ความมีคุณธรรมจริยธรรม
- ทักษะการมีชีวิตร่วมกับผู้อื่น
สิ่งเหล่านี้ คุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูจะสามารถมองเห็นทักษะต่างๆ ของลูกได้เด่นชัดมากขึ้นเมื่อลูกเข้าโรงเรียนหรืออยู่ร่วมกับผู้อื่นๆ
หากลูกได้รับการฝึกฝนและพัฒนาต่างอย่างต่อเนื่อง ก็จะมีความยืดหยุ่นอดทนและฟันฝ่าอุปสรรคในชีวิตต่อไปได้
ชีวิตในวัยเด็กที่โหดร้ายส่งผลต่อชีวิตลูกอย่างไร?
มีการศึกษาอย่างกว้างขวางถึงประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก (Adverse childhood experience) ที่มีความรุนแรงหรือเด็กได้รับความเครียดความกดดันเกิดเป็นบาดแผลทางใจ ไม่มีที่พึ่งพิง สามารถส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายและจิตใจเมื่อเด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในหลายๆ ด้าน
ตัวอย่างประสบการณ์ที่เจ็บปวดและสร้างบาดแผลทางใจให้แก่เด็กได้ เช่น การทำร้ายร่างกาย การทำทารุณทางเพศ การทำร้ายทางอารมณ์ การเพิกเฉยจากผู้เลี้ยงดู การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพ่อแม่ที่มีโรคซึมเศร้า เป็นโรคจิต ติดสุราหรือสารเสพติด พ่อแม่หย่าร้างขาดคนดูแล หรือเติบโตในชุมชนที่ขาดความปลอดภัย
สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสมองในแง่ความทรงจำ ความคิด การตัดสินใจ สมาธิและการควบคุมอารมณ์ และเมื่อเติบโตขึ้นยังเพิ่มความเสี่ยงด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้
- มีความเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายทางร่างกาย เกิดอุบัติเหตุ ได้รับบาดเจ็บ
- เกิดโรคทางสุขภาพจิต เช่น โรคซึมเศร้า วิตกกังวล มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
- มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ มีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์
- มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น HIV
- เสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคอ้วน
- มีพฤติกรรมเสี่ยงในการติดสุรา สารเสพติด มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
- ล้มเหลวในการเรียนหรือการประกอบอาชีพ