การส่องกล้องตรวจภายในข้อเป็นกระบวนการผ่าตัดเปิดแผลที่มีขนาดเล็กเพื่อการวินิจฉัย และรักษาภาวะปัญหาต่าง ๆ บนข้อ
แพทย์มักใช้การตรวจรูปแบบนี้กับเข่า ข้อศอก ไหล่ เอว และข้อมือ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
การส่องกล้องตรวจข้อจะมีการใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่าอาร์โทรสโคปในการตรวจสอบข้อต่อต่าง ๆ บนร่างกาย อุปกรณ์นี้จะติดตั้งด้วยแท่งโลหะเรียวบางที่มีขนาดคล้ายกับหลอดดูดน้ำ ซึ่งมีตัวฉายแสงและกล้องติดตั้งอยู่ ภาพที่อุปกรณ์อาร์โทรสโคปส่องเห็นจะถูกส่งไปยังหน้าจอเพื่อให้ศัลยแพทย์มองเห็นภาพข้อต่อของคนไข้ได้
อีกทั้งอาจมีการใช้เครื่องมือศัลยกรรมผ่าตัดขนาดเล็กเข้ามาใช้ร่วมกับอุปกรณ์ชนิดนี้ได้ในกรณีที่แพทย์ต้องทำการรักษาภาวะที่อยู่ในข้อต่อคนไข้
เนื่องจากอุปกรณ์ที่ต้องสอดเข้าร่างกายของคนไข้มีขนาดเล็กมาก ทำการเจาะผิวหนังคนไข้มีขนาดเล็ก และด้วยเหตุเช่นนี้ จึงทำให้กระบวนการนี้มีข้อดีเหนือกว่าการผ่าตัดวินิจฉัยด้วยการเปิดแผลแบบดั้งเดิมอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น:
- สร้างความเจ็บหลังการผ่าตัดน้อยกว่า
- ใช้เวลาพักฟื้นสั้น
- โอกาสในการติดเชื้อต่ำ
- คนไข้สามารถกลับบ้านได้หลังการตรวจ
- คนไข้สามารถกลับไปทำกิจกรรมตามปรกติของตนได้เร็วกว่า
เหตุใดกระบวนการดังกล่าวจึงถูกใช้งานกัน?
การส่องกล้องตรวจข้อเหมาะสมกับผู้ที่มีปัญหาที่ข้อต่าง ๆ เรื้อรัง อย่างเช่นมีอาการเจ็บปวดข้อ ข้อบวม หรือตึง ซึ่งการสแกนทั่วไปมิอาจระบุถึงสาเหตุของปัญหาได้
การส่องกล้องตรวจข้อถูกใช้รักษาปัญหาและภาวะต่าง ๆ ที่ข้อได้ ยกตัวอย่างเช่น:
- เพื่อซ่อมแซมกระดูกอ่อน
- เพื่อนำเศษกระดูกที่อยู่ภายในช่องข้อออก
- เพื่อดูดของเหลวออกจากข้อ
- เพื่อรักษาภาวะต่าง ๆ อย่างเช่นโรคข้ออักเสบ โรคไหล่ติด หรือโรคเส้นประสาทข้อมือถูกกดทับ เป็นต้น
เกิดอะไรขึ้นระหว่างกระบวนการส่องกล้องตรวจข้อ
ตัวอุปกรณ์อาร์โทรสโคปจะถูกสอดผ่านรูตัดขนาดเล็กบนผิวหนังเหนือข้อต่อที่ต้องการตรวจสอบ อาจต้องทำการกรีดลงไปให้กว้างขึ้นหากต้องมีการใช้อุปกรณ์ผ่าตัดระหว่างการตรวจ ศัลยแพทย์จะตรวจสอบสภาพข้อของคุณจากภาพที่กล้องอาร์โทรสโคปส่งขขึ้นมาบนจอกระบวนการดังกล่าวมักมีการใช้ยาชาเฉพาะจุด หรือยาระงับความรู้สึกไปตามกรณีกระบวนการมักดำเนินการกับเคสผู้ป่วยนอก ทำให้ผู้รับการตรวจสามารถกลับบ้านได้หลังเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดแล้ว
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
การพักฟื้นหลังกระบวนการส่องกล้องตรวจข้อ
ระยะเวลาพักฟื้นหลังการส่องกล้องตรวจข้อจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งข้อต่อที่ทำการตรวจโดยส่วนมาก ผู้รับการตรวจจะสามารถกลับไปทำงานหรือดำเนินกิจกรรมเบา ๆ ได้ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งแพทย์อาจแนะนำให้ผู้รับการตรวจเลี่ยงการทำกิจกรรมหนัก ๆ อย่างการยกของหรือเล่นกีฬาเป็นเวลาหลายเดือนก็เป็นได้
แพทย์และทีมรักษาของคุณจะแนะนำระยะเวลาพักฟื้นและกิจกรรมที่คุณควรเลี่ยงแก่คุณภายหลังกระบวนการตรวจและในขณะที่คุณกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น คุณควรติดต่อไปยังทีมศัลยแพทย์ของคุณทันทีหากคุณคาดว่าตัวเองกำลังประสบกับภาวะข้างเคียงหลังการตรวจ
การส่องกล้องตรวจข้อมีความเสี่ยงอะไรบ้าง?
การส่องกล้องตรวจข้อถูกยอมรับว่าเป็นกระบวนการที่ปลอดภัยมาก แต่ก็เช่นเดียวกับกระบวนการผ่าตัดประเภทอื่น ๆ ที่ย่อมมีความเสี่ยงบ้างบางประการ ส่วนมากผู้รับการตรวจจะประสบกับภาวะข้างเคียงระยะสั้น ๆ อย่างมีอาการบวม มีรอยฟกช้ำ มีอาการตึงและไม่สบายข้อ ซึ่งมักจะดีขึ้นตามกาลเวลาเอง
ภาวะข้างเคียงที่รุนแรงมักจะพบได้ไม่บ่อยนักหรือจะเกิดกับผู้ที่รับการตรวจ 1 คนจาก 100 คนเท่านั้น ซึ่งมีดังนี้:
- มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นภายในแขนขาข้างใดข้างหนึ่ง: หรือที่เรียกว่าภาวะเส้นเลือดขอด (DVT) ซึ่งจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดที่แขนขาข้างนั้น ๆ และจะมีอาการอวัยวะบวมออก
- การติดเชื้อภายในข้อ: หรือข้ออักเสบติดเชื้อ ซึ่งจะทำให้มีไข้สูง รู้สึกเจ็บปวด และมีอาการข้อบวม
- เลือดออกภายในข้อ: ซึ่งมักทำให้ผู้ที่เป็นรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงที่ข้อ และมีอาการข้อบวม
- ความเสียหายที่ประสาทใกล้ข้อจากอุบัติเหตุระหว่างกระบวนการ: ซึ่งจะทำให้อวัยวะส่วนนั้นชาหรืออาจเสียความรู้สึกไปบ้าง และมีทั้งแบบถาวรและแบบชั่วคราว
คุณควรทำการพูดคุยทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับคุณก่อนเข้ารับการส่องกล้องตรวจข้อ
การส่องกล้องตรวจข้อจะถูกดำเนินการเมื่อไร?
การส่องกล้องตรวจข้อสามารถดำเนินการเพื่อการวินิจฉัยเพียงอย่างเดียว หรือเพื่อการรักษาภาวะปัญหาข้อไปพร้อมกับการตรวจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
การวินิจฉัยปัญหาที่ข้อต่อ
การส่องกล้องตรวจข้อสามารถใช้ชี้ถึงภาวะปัญหาดังต่อไปนี้:
- อาการปวดข้อต่อ
- ข้อตึง
- มีอาการบวมที่ข้อ
- ข้อต่อหลุดออกจากตำแหน่งปกติ
ปัญหาที่กล่าวไปอาจสามารถตรวจพบได้จากการเอกซเรย์ ซีทีสแกน หรือจากการถ่ายภาพแม่เหล็กไฟฟ้าก็ได้ แต่หากการสแกนเหล่านี้ไม่พบสาเหตุของปัญหา แพทย์อาจต้องทำการเจาะตรวจข้อเพื่อตรวจสอบสาเหตุโดยตรง
การส่องกล้องตรวจข้อยังสามารถใช้เพื่อประเมินระดับความเสียหายจากการบาดเจ็บที่ข้อต่อได้อีกเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อให้แพทย์หรือศัลยแพทย์สามารถทำการรักษาได้อย่างถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น:
- การซ่อมแซมกระดูกอ่อน เส้นเอ็น หรือเอ็นยึด (ยกตัวอย่างเช่นการผ่าตัดเอ็นยึดที่เข่า)
- เพื่อการตัดเนื้อเยื่อที่อักเสบออก
- เพื่อการนำเศษกระดูกออกจากข้อต่อ
- เพื่อดูดน้ำไขข้อที่มากเกินไปออกมา (ของเหลวที่ใช้หล่อลื่นข้อต่อ)
ภาวะที่สามารถทำการรักษาระหว่างการส่องกล้องตรวจข้อ มีดังนี้:
- โรคข้ออักเสบ: ภาวะที่พบได้บ่อย ซึ่งสร้างความเจ็บปวดและอักเสบภายในข้อ
- ก้อนปมหลังเข่า: เป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมกันของน้ำไขข้อจนทำให้เกิดอาการตึงและบวม
- โรคไหล่ติด: ภาวะที่สร้างความเจ็บปวดและตึงบริเวณไหล่ ซึ่งจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
- โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ: ภาวะที่ก่อให้เกิดอาการชา หยุกหยิก และอาจมีอาการเจ็บที่มือและนิ้วได้ในบางครั้ง
- เข่าแข็ง: เป็นการติดขัดที่เนื้อเยื่อที่เคยบาดเจ็บมาก่อนจนทำให้การใช้งานข้อนั้น ๆ ไม่เหมือนเดิม
- กระดูกงอก: เป็นกระดูกที่เติบโตอย่างผิดปรกติจนสร้างความเจ็บปวดเรื้อรังขึ้น
- เยื่อบุข้ออักเสบ: เป็นการอักเสบของผนังข้อต่อ
- ความผิดปรกติของข้อต่อขากรรไกร (TMD): เป็นภาวะปัญหาที่ส่งผลที่ข้อต่อขากรรไกรล่างกับส่วนล่างของกะโหลก
การส่องกล้องตรวจข้อดำเนินการอย่างไร?
กระบวนการส่องกล้องตรวจข้อมักใช้เวลาประมาณ 30 นาที ไปจนถึง 2 ชั่วโมง ภายหลังการรักษาหรือวินิจฉัย คุณก็สามารถกลับบ้านได้ทันที หรือภายในเช้าวันถัดไป
การเตรียมตัวเข้ารับการตรวจ
ก่อนการส่องกล้องตรวจข้อ คุณจะถูกนัดให้มาทำการตรวจเบื้องต้นก่อน
ซึ่งจะมีการประเมินสุขภาพโดยรวมของคุณเพื่อให้แพทย์มั่นใจว่าร่างกายคุณพร้อมกับการผ่าตัดนี้ อีกทั้งระหว่างนี้คุณจะได้รับการชี้แจงถึง:
- สิ่งที่คุณสามารถรับประทานหรือดื่มได้ในวันที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด
- ยาที่คุณควรเริ่มหรืองดก่อนการผ่าตัด
- ระยะเวลาที่คุณควรพักฟื้นหลังการผ่าตัด
- ความจำเป็นของการออกกำลังการเวชศาสตร์ฟื้นฟูหลังการผ่าตัด
ทีมรักษาของคุณยังจะอธิบายถึงผลประโยชน์และความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าตรวจส่องกล้องข้อต่อ อีกคุณรับทราบถึงความเสี่ยงทั้งหมดและประสงค์จะเข้ารับการตรวจส่องกล้องอยู่ คุณต้องทำการลงชื่อเพื่อยืนยันการตัดสินใจของคุณ ซึ่งเป็นหลักฐานว่าคุณเข้าใจและน้อมรับความเสี่ยงที่รับทราบแล้วนั่นเอง
การดำเนินการส่องกล้องตรวจข้อต่อ
การส่องกล้องตรวจข้อมักดำเนินการโดยใช้ยาสลบ ซึ่งมีบางกรณีแพทย์อาจใช้วิธีการระงับความรู้สึกที่ไขสันหลังหรือใช้ยาชาเฉพาะที่แทน แพทย์ที่ทำการตรวจจะเลือกและชี้แจงการใช้ยาระงับความรู้สึกที่เหมาะสมกับกรณีของคุณ ซึ่งในบางกรณีคนไข้ก็สามารถเลือกได้เองว่าอยากให้แพทย์ใช้วิธีใดกับตน
หากคุณได้รับยาชา ข้อต่อของคุณจะถูกทำให้ชาจนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใด ๆ ซึ่งคุณยังรู้สึกตัวตลอดกระบวนการ อย่างรู้สึกถึงการดึงหรือกดเล็กน้อย เป็นต้น
แพทย์จะใช้น้ำฆ่าเชื้อแบคทีเรียทำความสะอาดผิวหนังบริเวณข้อต่อเพื่อทำการกรีดเจาะช่องลงไป หากกระบวนการนั้นใช้เพียงกล้องอาร์โทรสโคป บาดแผลจะมีความยาวไม่กี่มิลิเซนติเมตรเท่านั้น หากมีการใช้เครื่องมือศัลยกรรมอื่น ๆ ร่วมกระบวนการด้วย แพทย์อาจทำการเจาะช่องเพิ่มเพื่อทำการสอดเครื่องมือลงไป
ศัลยแพทย์อาจเติมน้ำปลอดเชื้อลงข้อต่อเพื่อขยายช่องออกจนทำให้สามารถมองเห็นภายในได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หากจำเป็นหรือเป็นไปได้ แพทย์อาจสามารถกำจัดสาเหตุหรือซ่อมแซมส่วนที่เสียหายภายในได้เลย
หลังจากกระบวนการ แพทย์จะดึงกล้องอาร์โทรสโคปและอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกพร้อมกับดูดน้ำที่ใส่เข้าข้อต่อเพิ่มออกมา รอยแผลจะถูกปิดด้วยเทปปิดแผลชนิดพิเศษ หรืออาจทำการเย็บปิดซึ่งจะถูกปิดด้วยผ้าปิดแผลสะอาดไว้
การพักฟื้น
ระยะเวลาพักฟื้นหลังการส่องกล้องตรวจข้อจะแตกต่างกันไปตามกรณีรูปแบบการผ่าตัดที่ผ่านไป รวมไปถึงสุขภาพโดยรวมและประเภทของกิจกรรมที่คุณต้องทำในแต่ละวัน
บางคนอาจรู้สึกดีขึ้นภายในเวลาไม่กี่วัน ในขณะที่บางคนอาจต้องใช้เวลานานเป็นเดือน ๆ
ภายหลังการผ่าตัด
หลังการส่องกล้องตรวจข้อ คุณจะถูกส่งตัวไปในห้องพักฟื้นจากฤทธิ์ยาสลบ (ในกรณีที่ใช้)
คุณอาจรู้สึกเจ็บข้อบ้าง ซึ่งหากคุณประสบกับความเจ็บปวดมากไป ให้แจ้งพยาบาลที่ดูแลให้จัดเตรียมยาแก้ปวดมาให้คุณ
ผู้คนส่วนมากที่ผ่านการส่องกล้องตรวจจะสามารถออกจากโรงพยาบาลในวันเดียวกับที่ทำการผ่าตัดหรือภายในเช้าวันถัดไปได้เลย ซึ่งก่อนจะกลับบ้าน คุณจะได้รับการนัดหมายกับนักกายภาพเพื่อเรียนรู้วิธีการออกกำลังกายที่บ้าน
คุณอาจต้องใช้ไม้เท้าหรือเข้าเผือกรองรับและป้องกันข้อต่อส่วนที่ถูกตรวจสอบในระหว่างการพักฟื้น ขึ้นอยู่กับกระบวนการผ่าตัดที่ผ่านไป บางคนอาจได้รับปั๊มชนิดพิเศษหรือโดนรัดแขนไว้เพื่อควบคุมการไหลเวียนเลือด
คำแนะนำสำหรับการพักฟื้น
หลังการผ่าตัดคุณจะรู้สึกเหนื่อยและวิงเวียน ซึ่งเป็นผลมาจากฤทธิ์ยาสลบ คุณควรพาบุคคลที่สามมากับคุณในวันตรวจด้วยเนื่องจากระหว่างนี้คุณจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เท่าที่ควร โดยคนส่วนมากมักจะสร่างจากยาสลบภายใน 48 ชั่วโมง
เมื่อคุณเดินทางถึงบ้าน ให้พยายามยกข้อต่อส่วนที่ผ่านการผ่าตัดให้อยู่สูง และทำการประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม และถ้าแพทย์แนะนำให้มีการออกกำลังกายข้อต่อ คุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ผ้าปิดแผลหรือเฝือกที่ใช้ปกปิดแผลต้องแห้งอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นคุณควรปกปิดส่วนนั้นด้วยถุงพลาสติกในขณะที่คุณกำลังอาบน้ำ หากสิ่งเหล่านี้เปียกหรือหลุดออก ให้เปลี่ยนอันใหม่ทันที ซึ่งอุปกรณ์ปกปิดแผลเหล่านี้มักจะถอดออกได้หลังจากนั้น 5 ถึง 10 วัน
แผลของคุณควรจะหายดีภายในเวลาไม่กี่วัน หากแพทย์ใช้ด้ายเย็บแผล (ที่ละลายไม่ได้) ปิดปากแผลระหว่างการผ่าตัด คุณจะถูกนัดเข้ามาถอดด้ายออกภายหลังจากนั้นประมาณหนึ่งหรือสองอาทิตย์
โดยทั่วไป ทางแพทย์จะนัดให้คุณมาเพื่อการติดตามผลหลังจากผ่าตัดไม่กี่สัปดาห์ เพื่อประเมินดูผลการผ่าตัด การฟื้นตัวของคุณ และการรักษาอื่น ๆ ที่คุณต้องได้รับ
การกลับไปทำกิจกรรมตามปรกติ
ทางศัลยแพทย์หรือทีมรักษาจะให้คำแนะนำถึงระยะเวลาในการพักฟื้น และกิจกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงต่าง ๆ แก่คุณ
คุณอาจต้องลางานอย่างน้อยหนึ่งหรือสองสัปดาห์ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามบุคคล หรือลักษณะงานที่ต้องทำในแต่ละวัน
คุณสามารถขับรถได้เมื่อคุณพร้อม หรือเมื่อไม่มีอาการเจ็บปวดใด ๆ ซึ่งมักจะใช้เวลาประมาณไม่กี่อาทิตย์หรือหลายเดือนหลังการผ่าตัด ซึ่งทางแพทย์จะสามารถบอกคุณได้ชัดเจนมากกว่า
แพทย์สามารถแนะนำได้ถึงระยะเวลาที่คุณต้องงดทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงมาก ๆ อย่างเช่นการยกของ หรือเล่นกีฬา โดยส่วนมากมักจะใช้เวลาพักฟื้นหลังจากผ่าตัด 6 อาทิตย์ก่อนที่จะสามารถกลับไปทำกิจกรรมหนัก ๆ ได้ หากไม่ใช่กรณีนี้ คุณอาจต้องงดกิจกรรมดังกล่าวนานเป็นหลายเดือน
เมื่อไรที่ควรเข้าพบแพทย์
คุณควรติดต่อแพทย์หรือคลีนิคที่คุณเข้ารับการผ่าตัดทันทีที่คุณประสบเหตุดังต่อไปนี้:
- มีไข้สูง
- มีอาการเจ็บปวดรุนแรงหรือเพิ่มขึ้น
- มีอาการบวมแดงรุนแรงหรือเพิ่มขึ้น
- มีของเสียกลิ่นแรงหรือมีสีผิดแปลกขับออกมาจากบาดแผล
- มีอาการชาหรือคันหยุกหยิก
ปัญหาเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่หนักหนาได้ อย่างเช่นการติดเชื้อหรือความเสียหายที่ปลายประสาท เป็นต้น