จากกรณีที่มีผู้ป่วยชายรายหนึ่งออกมาเปิดเผยว่า ป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว จึงเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 หรือราว 15 ปีก่อน แต่ภายหลังกลับตรวจพบว่าติดเชื้อ HIV จากการรับเลือดจากโรงพยาบาลดังกล่าว จึงเกิดข้อสงสัยว่า การรับเลือดจากโรงพยาบาลนั้นมีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน เพราะอะไรจึงมีเชื้อหลุดรอดมาได้ และนอกจากเชื้อ HIV แล้ว ยังมีความเสี่ยงในการได้รับเชื้ออื่นๆ ได้อีกหรือไม่ เราจะไขข้อข้องใจให้ทราบกัน
ทั้งนี้หลังจากที่มีการนำเสนอข่าวดังกล่าว ในรายการไทยรัฐนิวส์โชว์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ออกแถลงการณ์เพื่อชี้แจงรายละเอียดว่า บุคคลในภาพข่าวนั้นเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาล และโรงพยาบาลได้รับผู้ป่วยดังกล่าวเข้ารับการรักษาอาการโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวจริง
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
แต่อย่างไรก็ตามโรงพยาบาลก็ได้มีการชี้แจ้งเพิ่มเติมว่า โรงพยาบาลก็มีข้อปฏิบัติในการให้เลือด โดยรับเลือดจากศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ซึ่งเป็นสถาบันที่มีมาตรฐานในการคัดเลือกและตรวจสอบเลือดผู้บริจาคตามมาตรฐานระดับประเทศและระดับสากล
ทั้งนี้วิธีการตรวจเลือดผู้บริจาคทางห้องปฏิบัติการนั้นมี 2 รูปแบบ
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยวิธีโซโรโลยี (Serology) หมายถึงการตรวจหาแอนติบอดี (ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายคนสร้างขึ้น เพื่อต่อต้านเชื้อโรค) และแอนติเจน (โปรตีนจำเพาะของเชื้อ)
- ตรวจด้วยวิธี Nucleic acid amplification test (NAT) คือการตรวจหา DNA ของเชื้อไวรัสโดยตรง นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดและแม่นยำที่สุดในปัจจุบัน
แม้ว่ากระบวนการตรวจจะแม่นยำเพียงใด ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า จะคัดกรองเชื้อต่างๆ ได้ 100% เพราะเมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อแล้วจะมีระยะที่ไม่สามารถตรวจพบโรคได้ เรียกว่า ระยะวินโดว์ หรือ Window Period
ทั้งนี้เชื้อ HIV มีข้อจำกัดคือจะตรวจเจอเชื้อได้เร็วที่สุดโดยเฉลี่ยประมาณ 11 วัน สำหรับวิธี NAT และ 22 วัน สำหรับวิธี serology เพราะต้องรอให้เชื้อแบ่งตัวหรือเพิ่มปริมาณในร่างกายก่อน ดังนั้นหากผู้บริจาคเลือดได้รับเชื้อและมาบริจาคเลือดก่อนครบ 11 วัน จะไม่สามารถตรวจพบเชื้อได้ จึงทำให้มีโอกาสที่ผู้ป่วยที่ได้รับเลือด ติดเชื้อ HIV ได้
ตรวจเลือดหลังช่วง Window Period ได้หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม อาจมีข้อสงสัยว่า เมื่อเรารับเลือดมาแล้ว สามารถทิ้งระยะเวลาการตรวจคัดกรองให้ผ่านช่วง Window Period ไปก่อนได้หรือไม่
คำตอบคือไม่ได้ เนื่องจากเมื่อนำเลือดออกมาจากร่างกายแล้วต้องเก็บที่อุณหภูมิ 4°C ซึ่งไม่เหมาะแก่การแบ่งตัวของเชื้อไวรัส จึงทำให้ตรวจไม่พบ นอกจากนี้ สารพันธุกรรมของไวรัสสามารถอยู่ได้เพียง 168 ชั่วโมง (7 วัน) เมื่อเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 4°C และเพียง 72 ชั่วโมง (3 วัน) เมื่อเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 25°C
รับบริจาคเลือด มีโอกาสติดเชื้ออื่นๆ อีกหรือไม่?
เชื้อที่สามารถติดต่อทางการให้เลือดมีหลายชนิด ดังนี้
- เชื้อไวรัส HIV
- เชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี
- เชื้อไวรัส Cytomegalovirus (CMV)
- เชื้อไวรัส Epstein-Barr (EBV)
- เชื้อไวรัส Human herpesvirus 6 (HHV-6)
- เชื้อมาลาเรีย
- เชื้อซิฟิลิส
- เชื้อแบคทีเรียอื่นๆ
ทั้งนี้ระยะเวลา Window Period ของเชื้อแต่ละชนิดก็จะแตกต่างกันไป เช่น ไวรัสตับอักเสบซี มีระยะ 82 วัน ไวรัสตับอักเสบบี มีระยะ 60 วัน เป็นต้น (ใช้วิธีการตรวจแบบ Serology)
จะเห็นได้ว่าแม้จะมีเทคโนโลยีในการตรวจคัดกรองเชื้อที่แม่นยำเพียงใด แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความซื่อสัตย์ของผู้บริจาคเลือด ที่จะต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องตั้งแต่การซักประวัติ เพื่อมั่นใจจริงๆ ว่าตนเองไม่ได้มีเชื้อใดๆ ติดตัวมาก่อนเข้ารับการบริจาคเลือด เพราะอาจทำให้ผู้ที่ได้รับเลือดจากคุณ มีโอกาสเสี่ยงที่จะติดโรคไปตลอดชีวิตได้