ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ เป็นอุปกรณ์ตรวจการตั้งครรภ์ที่ใช้ได้ง่าย และหาซื้อได้ทั่วไป ทำให้ใครที่รีบร้อนอยากรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์หรือไม่ สามารถทราบผลได้ในไม่กี่นาทีโดยไม่ต้องไปตรวจที่โรงพยาบาล แต่อย่างไรก็ตาม ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ ที่วางขายตามท้องตลาดนั้นมีหลากหลายแบบ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร และมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร วันนี้เราจึงนำข้อมูลเกี่ยวกับ ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ แบบต่างๆ มาบอกเล่าให้คุณผู้อ่านได้ทราบกัน
ชุดทดสอบการตั้งครรภ์คืออะไร?
ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ เป็นการตรวจหาฮอร์โมน Human chorionic gonadotropin หรือ HCG ในปัสสาวะ ซึ่งจะหลั่งออกมาในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หลังการปฏิสนธิประมาณ 6-7 วัน ระดับฮอร์โมน HCG จะขึ้นสูงสุดช่วงอายุครรภ์ 8 – 12 สัปดาห์ และการตรวจโดยชุดทดสอบการตั้งครรภ์ จะมีความแม่นยำสูงหลังอายุครรภ์ 10 – 14 วัน เป็นต้นไป ดังนั้น ใครที่ประจำเดือนขาดไปเพียงสามสี่วัน อาจยังตรวจไม่เจอว่าตั้งครรภ์ก็ได้
สำหรับ การอ่านผล ของชุดทดสอบการตั้งครรภ์ทุกแบบนั้นเหมือนกัน คือ
- หากปรากฏ ขีดสีแดง 2 ขีด ขึ้นบนแถบทดสอบ แสดงว่าผลเป็น บวก หรือ มีการตั้งครรภ์
- หากปรากฏ ขีดสีแดงเพียงขีดเดียว (เฉพาะขีดที่สอง) แสดงว่าผลเป็น ลบ หรือ ไม่มีการตั้งครรภ์
- แต่ถ้าปรากฏ ขีดสีแดงเพียงขีดเดียว (เฉพาะขีดที่หนึ่ง) แสดงว่า ชุดการทดสอบนั้นเสื่อมสภาพ และไม่สามารถใช้งานได้
เปรียบเทียบชุดทดสอบการตั้งครรภ์แบบต่างๆ
ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาดมีอยู่ 3 แบบ ได้แก่ แบบแถบจุ่ม แบบหยอด และ แบบผ่าน
แบบแถบจุ่ม (Test strip)
ภายในชุดทดสอบจะประกอบด้วยแถบทดสอบการตั้งครรภ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นแคบและยาว และถ้วยสำหรับใส่ปัสสาวะ วิธีการใช้ ได้แก่
- เก็บปัสสาวะลงในถ้วยตวง ซึ่งควรเป็นปัสสาวะสดใหม่
- นำแถบทดสอบหันด้านที่มีลูกศรชี้ลง จุ่มลงในปัสสาวะ โดยระวังอย่าให้ปัสสาวะสูงเลยขีดที่กำหนดไว้บนแถบ และให้จุ่มแช่ไว้ประมาณ 3 วินาทีเท่านั้น
- นำแถบทดสอบขึ้นมาวางไว้ในแนวราบ รอจนครบ 5 นาที แล้วจึงอ่านผล
ข้อดี
- มีราคาถูก คือประมาณ 100 – 140 บาท
ข้อเสีย
- ชุดทดสอบจะเสียสภาพได้ง่าย โดยเฉพาะหากเก็บไว้ในที่ชื้น หรือสัมผัสกับสารเคมีอื่นๆ
- ระหว่างจุ่มแถบทดสอบ ต้องระวังไม่ให้ปัสสาวะเลยขีดที่กำหนด
แบบหยอด (Test cassette)
หรือเรียกอีกอย่างว่า แบบตลับ ภายในชุดทดสอบจะประกอบไปด้วย ตลับทดสอบ ถ้วยใส่ปัสสาวะ และหลอดหยด ซึ่งวิธีการทดสอบมีดังนี้
- เก็บปัสสาวะลงในถ้วยตวง ซึ่งควรเป็นปัสสาวะสดใหม่
- ใช้หลอดหยดดูดปัสสาวะขึ้นมา และหยดลงบนหลุมของตลับทดสอบจำนวน 3 – 4 หยด
- วางตลับทดสอบในแนวราบ รอจนครบ 5 นาที แล้วอ่านผล
ข้อดี – มีราคาปานกลาง คือ 140 – 180 บาท
- ตลับทดสอบมีโอกาสเสื่อมสภาพต่ำ และการหยดปัสสาวะก็ลดโอกาสเกิดผลคลาดเคลื่อนได้ดีกว่าแบบจุ่ม
ข้อเสีย – หากหยดปัสสาวะมากหรือน้อยเกินไป ก็อาจทำให้ผลการทดสอบคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงได้
แบบผ่าน (Midstream test)
ภายในชุดทดสอบจะประกอบด้วยแท่งทดสอบการตั้งครรภ์เพียงอย่างเดียว โดยมีวิธีใช้ดังนี้
- ถอดฝาครอบแท่งทดสอบออก และขณะใช้ ให้ถือแท่งทดสอบโดยให้หัวลูกศรชี้ลง
- ปัสสาวะผ่านส่วนที่ดูดซับน้ำปัสสาวะ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าแถบลูกศรลงไปจนเปียกชุ่ม
- วางแท่งทดสอบในแนวราบ และรอ 1 - 5 นาที จึงอ่านผล
ข้อดี
- มีขั้นตอนการใช้น้อยกว่าชุดตรวจแบบอื่นๆ เนื่องจากไม่ต้องปัสสาวะใส่ถ้วย
- ใช้เวลารออ่านผลน้อยกว่าแบบอื่น อย่างไรก็ตาม ควรรอจนครบ 5 นาทีแล้วจึงอ่านผลอีกครั้ง เพื่อความแม่นยำ
ข้อเสีย
- มีราคาสูง คือประมาณ 180 – 220 บาท