แนวทางของรัฐเพื่อคุ้มครองผู้เข้าร่วมวิจัย

กฎ Common Rules ปกป้องพวกเราจากการศึกษาและการทดลองที่ไร้จริยธรรม
เผยแพร่ครั้งแรก 24 ส.ค. 2017 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
แนวทางของรัฐเพื่อคุ้มครองผู้เข้าร่วมวิจัย

นโยบายของรัฐบาลที่คุ้มครองผู้เข้าร่วมวิจัยเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อคือ Common Rule ซึ่งคุ้มครองสิทธิของคุณหากคุณเข้าร่วมในการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิก (clinical trial) โดยกฎหมายแล้ว ชาวอเมริกันได้รับการรับประกันสำหรับการปฏิบัติทางจริยธรรมเมื่อพวกเขาตกลงที่จะเข้าร่วมในการวิจัยทางการแพทย์ รวมถึงการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิก นโยบายดังกล่าวอ้างอิงจาก Belmont Report ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปีทศวรรษ 1970s เพื่อแนะแนวทางด้านจริยธรรมในงานวิจัยให้แก่ผู้วิจัยทางการแพทย์

หลักการของรัฐเพื่อให้การคุ้มครองผู้เข้าร่วมวิจัย

มีหลักการทางจริยธรรมสามข้อในกฎ Common Rule

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

1. เคารพในการให้ความยินยอม (informed consent) ผู้วิจัยต้องทำให้ผู้เข้าร่วมวิจัยเข้าใจแง่มุมทุกอย่างของการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิก หรือการวิจัยใด ๆ ก็ตามที่พวกเขาเข้าร่วมอย่างซื่อตรง ผู้เข้าร่วมวิจัยต้องอาสาด้วยตนเองหลังจากนั้นจึงให้ความยินยอมเข้าร่วม

2. การไม่ทำอันตราย นี่เป็นหลักการ “ขั้นแรกสุดคือไม่ทำให้เกิดอันตราย” ของงานวิจัย ผู้วิจัยต้องมุ่งเน้นที่จะลดความเสี่ยงต่อผู้เข้าร่วมวิจัยให้เหลือน้อยที่สุด

3. ความยุติธรรม การแบ่งค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์ระหว่างผู้เข้าร่วมต้องเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล ไม่เอาเปรียบ ยุติธรรม และเท่าเทียม

ความผิดพลาดสำหรับแนวทางของรัฐเพื่อให้การคุ้มครองผู้เข้าร่วมวิจัย

มีความผิดพลาดสองประเภทที่คุณควรระวัง

1. กลุ่มใด ๆ เช่น สถาบันการศึกษาทางการแพทย์หรือบริษัทยาที่ทำการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกหรือทำการทดลองใด ๆ ในคนต้องสร้างความสัมพันธ์กับคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย (Institutional Review Board-IRB) คณะกรรมการดังกล่าวมีหน้าที่ตรวจสอบการวิจัยในคนทั้งหมด ให้แน่ใจว่าผู้วิจัยยังยึดมั่นในหลักจริยธรรมตามที่ได้กล่าวไปแล้ว

2. ความผิดพลาดของคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย ซึ่งตรวจสอบโดยสำนักงานคุ้มครองการวิจัยในคน (Office for Human Research Protections-OHRP) สำนักงานดังกล่าวอยู่ในสังกัดกระทรวงบริการด้านสุขภาพและมนุษย์แห่งสหรัฐอเมริกา สำนักงานดังกล่าวมีหน้าที่ปกป้องสิทธิ สวัสดิการ และความเป็นอยู่ของใครก็ตามที่เข้าร่วมการวิจัยทางการแพทย์ในสหรัฐอเมริกา

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

แนวทางดังกล่าวมีความหมายอะไรกับคุณ

ใครก็ตามที่กำลังพิจารณาจะเข้าร่วมการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกหรือการวิจัยรูปแบบใด ๆ ควรจะคุ้นเคยกับหลักการและการควบคุมของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะรับรองว่าผู้เข้าร่วมวิจัยจะได้รับความคุ้มครอง แต่ก็เป็นไปได้ที่ผู้ป่วยจะไม่ได้รับความคุ้มครองหากผู้วิจัยทางการแพทย์ดังกล่าวไม่ทำตามกฎ

หากคุณเกี่ยวข้องในงานวิจัยใด ๆ และรู้สึกว่าถูกละเมิดสิทธิ ตั้งคำถาม และพยายามจัดลำดับปัญหาที่คุณมีให้ชัดเจน หากคุณยังรู้สึกยังว่ามีการละเมิดอยู่ คุณอาจต้องการติดต่อกับสำนักงานคุ้มครองการวิจัยในคน

ทำไมเราจึงต้องมีแนวทางของรัฐเพื่อคุ้มครองผู้เข้าร่วมวิจัย

แม้ว่าดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้อีกแล้วในปัจจุบัน แต่จากประวัติศาสตร์ของการวิจัยทางการแพทย์ที่ผ่านมา ผู้เข้าร่วมวิจัยถูกกระทำอย่างไร้จริยธรรมโดยที่นักวิทยาศาสตร์ใช้คำอธิบายว่าเพื่อความก้าวหน้าของการวิจัย สิ่งสำคัญคือไม่มีผู้เข้าร่วมวิจัยคนไหนเลยที่มีทางเลือกหรือให้คำยินยอมแล้ว พวกเขาถูกหลอก หรือไม่ก็กำลังถูกจับเป็นนักโทษและไม่มีทางเลือกอื่น

คุณอาจคุ้นเคยกับตัวอย่าง ดังต่อไปนี้

  • Tuskegee Syphilis study ซึ่งเป็นการศึกษาที่ทำในช่วงปี 1932-1972 กับชาวนาผิวดำยากจนที่เป็นซิฟิลิสในรัฐอลาบามา ชาวนากลุ่มนี้ไม่ได้รับการรักษาเพื่อจะได้ติดตามว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง แม้ว่าขณะนั้นจะมีเพนนิซิลินใช้แล้วก็ตาม ไม่เพียงแต่ชาวนากลุ่มนี้จะเสียชีวิตจากซิฟิลิส แต่ภรรยาของพวกเขาก็ติดเชื้อและเสียชีวิตด้วยเช่นกัน
  • นักโทษในเรือนจำที่อิลินอยส์ถูกทำให้ติดเชื้อมาลาเรียโดยตั้งใจโดยเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1940s เพื่อทดลองเรื่องการรักษามาลาเรีย
  • จากประวัติศาสตร์การวิจัยในอเมริกา ผู้เข้าร่วมวิจัยได้รับการฉีดหรือให้กินสารกัมมันตภาพรังสี เช่น ยูเรเนียม พลูโตเนียม และไอโอดีนเพื่อดูว่าร่างกายของพวกเขาจะได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง ซึ่งมีทั้งทารก เด็กเล็ก นักโทษ และหญิงตั้งครรภ์ ไม่มีใครในการศึกษานี้เลยที่รู้ว่าพวกเขากำลังได้รับสารกัมมันตภาพรังสีอยู่
  • การวิจัยในชาวยิวและนักโทษคนอื่น ๆ ที่ทำโดยนาซีในช่วงทศวรรษที่ 1930s และ 1940s เช่นการทดลองเพื่อเปลี่ยนสีตาโดยการฉีดสารเคมีเข้าไปในตาของเด็ก หรือการใช้รังสีเป็นการทำหมัน การทดลองของนาซีหลายอย่างจัดว่าเป็น “สุพันธุศาสตร์” คือเป็นการปรับปรุงลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษย์ให้ดีขึ้นโดยการผสมคัดเลือกและการทำหมัน

ยังมีตัวอย่างของการทดลองในคนที่ผิดจริยธรรมอีกหลายสิบตัวอย่าง ซึ่งบางอย่างก็เป็นการทดลองทางร่างกาย บางอย่างก็เป็นการทดลองทางจิตใจ โดยทั้งหมดนี้เป็นการวิจัยโดยที่ผู้เข้าร่วมไม่ได้มีความสงสัยหรือไม่เต็มใจ

แนวทางของรัฐเพื่อให้การคุ้มครองผู้เข้าร่วมวิจัย หรือ Common rule จะป้องกันพวกเราจากการทดลองที่ผิดจริยธรรมดังกล่าว


1 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Federal Policy for the Protection of Human Subjects. Final rule. National Center for Biotechnology Information. (https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/28106360)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป
ประเภทของประกันสุขภาพและวิธีการเลือกซื้อ
ประเภทของประกันสุขภาพและวิธีการเลือกซื้อ

แนะนำข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับประกันสุขภาพ เลือกซื้ออย่างไรให้เหมาะกับตัวเองมากที่สุด

อ่านเพิ่ม