พริก เป็นสมุนไพรที่มีการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์มานาน ผลของพริกมีสารแคปไซซิน (Capsaicin) ทําให้เกิดความเผ็ดร้อน และสามารถนําไปใช้ประโยชน์ทางยา เช่น ยาทาภายนอกระงับปวด พนิกยังมีฤทธิ์ช่วยในการเผาผลาญพลังงานของสารอาหารในร่างกาย กระตุ้นการเคลื่อนตัวของทางเดินอาหาร ลดการอักเสบ และเชื่อกันว่า สารสําคัญดังกล่าวจะมีส่วนช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย
ประโยชน์ทางอาหาร
พริกจะแตกยอดงามในช่วงฤดูฝน และก่อนติดผล เมื่อมีผลแล้วจะมียอดน้อยลง ผลจะมีตลอดทั้งปี ยอดอ่อนของพริกสามารถนำมารับประทานได้ด้วยการลวกเป็นผักแกล้มกับน้ำพริก หรือนำไปปรุงอาหาร ส่วนผลนิยมนำมาเป็นเครื่องปรุงรสให้เผ็ดร้อน หรือรับประทานเคียงกับอาหารบางชนิด เช่น ไส้กรอกอีสาน ไส่อั่ว แหนม เพื่อลดความเลี่ยน ไม่เพียงเท่านั้นปัจจุบันยังเกิดเทรนด์การรับประทานพริกขี้หนูอบกรอบเป็นของว่างอีกด้วย
รสและประโยชน์ต่อสุขภาพ
ยอดพริกมีรสเผ็ดร้อน ส่วนผลของพริกมีรสเผ็ดจัด หากรับประทานเป็นผักจะช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับลม และทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น
ประโยชน์ของพริกใช้รับประทานเป็นยาขับเสมหะ ยารสร้อนช่วยในการย่อยอาหาร เพิ่มความอบอุ่นในร่างกาย และรักษาแผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้ได้อีกด้วย
นอกจากนั้นพริกยังใช้ป้องกันหวัดอาจเป็นเพราะว่า พริกอุดมไปด้วยวิตามินซีและยังถูกดูดซึมได้ดี การรับประทานพริกก่อนอาหาร หรือพร้อมอาหาร จะช่วยแก้อาการเบื่ออาหารได้
พริกยังใช้เป็นพืชสมุนไพรในทางการแพทย์ เนื่องจากภายในผลพริกซึ่งมีเมล็ดติดอยู่จะมีสารแคปไซซินที่ก่อให้เกิดความเผ็ด ความเผ็ดร้อนนี้จะทำให้ร่างกายขับเหงื่อและขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้ โดยจะนำสารแคปไซซินที่สกัดได้จากผลพริกมาใช้เป็นส่วนผสมของยาต่างๆ ทั้งชนิดรับประทานและทาภายนอก เช่น ยาช่วยเจริญอาหาร ขับลมในลำไส้ แก้หวัด ยาแก้ปวด เป็นต้น
พริกช่วยแก้อาการไอได้จริง หรือไม่
หากมีอาการไอ สามารถแก้ด้วยการรับประทานพริกเพราะ สารแคปไซซิน ที่มีอยู่ในพริกจะ
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บอกว่า สารแคปไซซินที่มีอยู่ในพริกนั้น ออกฤทธิ์เหมือนกับกรดซิสทีน ในยาแก้หวัด หากเป็นหวัดแล้วและมีอาการไอร่วมด้วยพบว่า การรับประทานพริกจะสามารถแก้ไอได้ดีกว่ายาแก้ไอที่ผสมเมนทอล เนื่องจากยาแก้ไอที่ผสมเมนทอล นอกจากจะทำให้คอแห้งแล้วยังไปทำลายเยื่อบุทางเดินหายใจ ในกรณีที่มีอาการคออักเสบ แพทย์หลายคนก็ให้ยารักษาที่ผสมสารแคปไซซินเพื่อลดอาการเจ็บคอและฆ่าเชื้อไปด้วย
วิธีรับประทานพริกให้ได้รับประโยชน์เป็นอย่างไร
การรับประทานอาหารใส่พริก หรืออาหารที่มีรสเผ็ด ไม่จำเป็นต้องบริโภคอย่างเคร่งครัดทุกมื้อ ควรรับประทานวันละ 1 - 2 มื้อ หรือวันเว้นวันได้ โดยในช่วงแรกในการรับประทานพริก หรืออาหารรสเผ็ด ควรรับประทานแต่น้อย และค่อยๆ เพิ่มขนาด เพราะจะทำให้ทางเดินอาหารค่อยๆ ปรับตัวรับความเผ็ดร้อนและความระคายเคืองของพริก โดยการเพิ่มการหลั่งสารเมือก มีการสร้างเนื้อเยื่อบุผิวกระเพาะอาหารและลำไส้เพิ่มขึ้น พริกจะช่วยลดการเกิดแก๊สที่เกิดจากการย่อยอาหารและการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อท้องที่เกิดจากอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้