กินยาคุมกับฉีดยาคุม อันไหนดีกว่าคะ

สวัสดีค่ะ คำถามของคุณอาจกว้างเกินไป ทำให้คุณหมอไม่สามารถให้ความเห็นได้ กรุณาอธิบายอาการอย่างละเอียดว่าเป็นอย่างไร บริเวณไหน เป็นมานานและถี่แค่ไหน รวมไปถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณ เช่น เพศ อายุ ยาหรืออาหารเสริมที่ทานอยู่ เป็นต้น หรือคุณอาจค้นหาคำตอบคุณหมอ และกว่า 5,000 บทความสุขภาพในเว็บของเรา หากคุณถามเกี่ยวกับโรงพยาบาล คุณสามารถค้นหาข้อมูลติดต่อของโรงพยาบาลได้ที่นี่ หรือส่งอีเมลมาที่ [email protected] ค่ะ ขอบคุณค่ะ

ทั้งยาเม็ดคุมกำเนิด (รายเดือน) และยาฉีดคุมกำเนิด ต่างก็มี 2 ชนิดค่ะ คือ ชนิดฮอร์โมนรวม (เอสโตรเจน+โปรเจสติน) และชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยว (ไม่มีเอสโตรเจน) หากไม่ทราบรายละเอียด คงไม่สามารถให้ข้อมูลการเปรียบเทียบในด้านของ "ผลข้างเคียง" และ "ราคา" ได้นะคะ

แต่หากเปรียบเทียบในด้านของ "ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด", "ความสะดวกในการใช้" และ "ความสะดวกในการเข้าถึงบริการ" จะพบว่า...

- ผู้ใช้ยาฉีดคุมกำเนิด มีโอกาสตั้งครรภ์ 0.2 - 6% ส่วนผู้ที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด มีโอกาสตั้งครรภ์ 0.3 - 9%

ดังนั้น ยาฉีดคุมกำเนิดจึงมีประสิทธิภาพสูงสุดในการคุมกำเนิดมากกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดเล็กน้อย

- ยาฉีดคุมกำเนิด จะฉีดทุก 1 หรือ 3 เดือน แล้วแต่ชนิดของยาฉีดที่ใช้ ส่วนยาเม็ดคุมกำเนิด จะต้องรับประทานทุก ๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานทุกวันไม่มีหยุด หรือจะเป็นการรับประทาน 3 สัปดาห์แล้วเว้นว่าง 1 สัปดาห์ก็ตาม

ดังนั้น ยาฉีดคุมกำเนิดจึงมีความสะดวกในการใช้มากกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดค่ะ

- และแม้ว่าผู้ใช้จะไม่สามารถฉีดยาคุมกำเนิดได้เอง ต่างจากการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด แต่ก็สามารถไปรับบริการได้จากหลายสถานบริการทางสุขภาพใกล้บ้าน

ดังนั้น ความสะดวกในการเข้าถึงบริการอาจไม่แตกต่างกันมากนัก โดยผู้ที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดอาจเข้าถึงบริการได้ง่ายกว่าการฉีดยาคุมกำเนิดเล็กน้อยค่ะ
..
..
จะเห็นได้ว่า จุดเด่นของยาฉีดคุมกำเนิดที่มีเหนือกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดอย่างเห็นได้ชัด ก็คือ ความสะดวกในการใช้ เนื่องจากไม่ต้องบริหารยาบ่อย ๆ นั่นเอง

แต่ไม่ได้หมายความว่า "ยาฉีดคุมกำเนิดดีกว่ายาเม็ดคุมกำเนิด" นะคะ

อีกทั้ง การเลือกใช้จะต้องพิจารณาจากปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม ดังนั้น แนะนำให้ปรึกษาสูตินรีแพทย์ที่โรงพยาบาลหรือคลินิกสูตินรีเวชใกล้บ้านเพื่อหาวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมค่ะ

ถ้าไม่ได้คุมกำเนิดใด ๆ อยู่ และต้องการฉีดยาคุมเข็มแรก ควรฉีดภายใน 7 วันแรกของการมีประจำเดือน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้ไม่ได้ตั้งครรภ์อยู่อย่างแน่นอนค่ะ ซึ่งการฉีดทันช่วงเวลาดังกล่าว จะถือว่ามีผลคุมกำเนิดได้เลยหลังฉีดยานะคะ

แต่ถ้าฉีดยาคุมต่อเนื่อง ให้ไปฉีดตรงตามวันที่นัดค่ะ

ผลข้างเคียงจากยาคุมชนิดที่ฉีดทุก 3 เดือน คือ มีเลือดออกกะปริบกะปรอย, ประจำเดือนไม่ปกติ หรือไม่มีประจำเดือนค่ะ ซึ่งลักษณะและระยะเวลาที่พบอาจแตกต่างไปในผู้ใช้แต่ละราย

ดังนั้น หากผู้ถามมีเลือดกะปริบกะปรอย และไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย น่าจะเป็นเพียงผลข้างเคียงจากยา โดยปกติไม่จำเป็นต้องรักษาก็หายเองได้ค่ะ ไม่แนะนำให้รับประทานยาสตรี เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกตินะคะ

แต่ถ้าเลือดกะปริบกะปรอยที่เกิดขึ้นเป็นอยู่นานมากจนรำคาญ หรือถ้าผู้ถามมีตกขาวผิดปกติ, มีกลิ่นเหม็นคาวหรือกลิ่นรุนแรง, แสบหรือคันช่องคลอด หรือปวดท้องรุนแรง ควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมและรับการรักษาที่เหมาะสมค่ะ

ไม่แนะนำให้ใช้ร่วมกันเพื่อคุมกำเนิดค่ะ เพราะนอกจากจะไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์แล้ว ยังทำให้ได้รับผลข้างเคียงมากขึ้นโดยไม่จำเป็นนะคะ

แต่ในบางกรณี แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ร่วมกันในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อรักษาภาวะผิดปกติบางอย่าง ดังนั้น หากเป็นการใช้ตามคำสั่งแพทย์ก็สามารถใช้ได้ค่ะ

1. ใช้ยาคุมยี่ห้ออะไรคะ และรับประทานยี่ห้อนี้ต่อเนื่องมานานแค่ไหนคะ
2. ก่อนจะใช้ยาคุมยี่ห้อนี้ คุมกำเนิดด้วยวิธีใดคะ
3. ความผิดปกติดังกล่าว เกิดขึ้นมานานแค่ไหนแล้วคะ

หากไม่ใช่เจ้าของกระทู้คำถามนี้ หรือมีข้อสงสัยอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในประเด็นเดิมของกระทู้ แนะนำให้ตั้งกระทู้คำถามใหม่ไปเลยนะคะ จะได้ไม่เกิดความสับสน และผู้ให้คำปรึกษาที่เชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ ก็จะได้เห็นคำถามและสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมได้ค่ะ

ฮอร์โมนในยาคุมทุก ๆ ชนิด ไม่ว่าจะเป็นยาคุมชนิดฉีดหรือชนิดรับประทาน ก็อาจส่งผลกระทบต่อความอยากอาหารของผู้ใช้ได้ โดยพบได้ทั้งในกรณีที่เจริญอาหารและรับประทานมากขึ้น หรือเบื่ออาหารและรับประทานน้อยลง ขึ้นกับการตอบสนองของผู้ใช้แต่ละราย

ดังนั้น หากผู้ใช้ไม่ควบคุมการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม น้ำหนักก็จะเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ

จึงไม่สำคัญว่าผู้ถามจะใช้ยาคุมชนิดฉีด หรือจะใช้ยาคุมชนิดเม็ดยี่ห้อใดนะคะ แต่สำคัญที่ควรควบคุมการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม เพราะหากการรับประทานอาหารไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากก่อนใช้ยาคุม น้ำหนักของผู้ถามก็ไม่ควรจะเปลี่ยนแปลงมากนักค่ะ

ขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการใช้ค่ะ ในกรณีที่ต้องการใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ก็ควรมีการใช้ต่อเนื่องให้ถูกวิธีเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการคุมกำเนิด เพราะถ้าไม่ได้ใช้ยาคุมต่อ ก็จะไม่มีผลป้องกันจากยาคุมที่เคยใช้ จึงเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ให้ง่ายหากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันใด ๆ

แต่ถ้าไม่ต้องการจะคุมกำเนิดต่อด้วยวิธีนี้แล้ว เช่น พร้อมจะมีบุตร, เปลี่ยนไปคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น ๆ หรือคาดว่าจะไม่มีเพศสัมพันธ์อีกเลย เมื่อใช้ยาคุมแผงเดิมหมดแล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องต่อยาคุมแผงใหม่ค่ะ

ควรควบคุมการรับประทานอาหาร และออกกำลังกายอย่างเหมาะสมค่ะ