พยาธิ นับเป็นหนึ่งสิ่งที่หลายคนแค่เพียงได้ยินก็อยากจะเบือนหน้าหนี เพราะเป็นที่รู้จักกันดีว่าพยาธินั้นมีความน่าสยดสยองและส่งผลเสียต่อร่างกายมากเพียงใด แต่การหันหน้าหนีตลอดไปอาจไม่ใช่ทางออกที่ดี การหาข้อมูลเพื่อเรียนรู้และหาวิธีรักษาที่ตรงจุดย่อมดีกว่า!
HDmall จึงจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ “พยาธิ” ปรสิตที่มาอาศัยและมุ่งทำลายร่างกายของเรา ว่าแท้จริงแล้วพยาธิคืออะไร? อาการใดที่บ่งบอกว่าเรามีพยาธิอยู่ในร่างกาย? รวมถึงเราสามารถป้องกันและรักษาการติดเชื้อพยาธิได้อย่างไรบ้าง? บทความนี้มีคำตอบ!
พยาธิคืออะไร?
พยาธิ คือ ปรสิตชนิดหนึ่งที่อาศัยและเจริญเติบโตอยู่ภายในร่างกายของมนุษย์ผ่านการแย่งสารอาหารต่างๆ จนทำให้ผู้ติดเชื้อได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ พยาธิบางชนิดยังเป็นพาหะนำโรค เมื่อเคลื่อนที่จึงแพร่กระจายเชื้อโรคไปยังอวัยวะอื่นๆ และทำให้เนื้อเยื่อในบริเวณนั้นถูกทำลายหรือเกิดการอุดตันขึ้น
โดยพยาธิสามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายวิธี เช่น การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีไข่หรือตัวอ่อนของพยาธิ การโดนพยาธิไชเข้าสู่ผิวหนังโดยตรง และการถูกยุงหรือแมลงที่มีเชื้อพยาธิกัด
พยาธิมีกี่ชนิด?
พยาธิมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด แต่พยาธิที่มักก่อให้เกิดโรคในมนุษย์สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มตามลักษณะและรูปร่าง ดังนี้
1. พยาธิตัวกลม
พยาธิตัวกลม (Nematodes) มีลักษณะลำตัวเป็นทรงกระบอก บริเวณหัวและท้ายเรียวแหลม มักอาศัยและวางไข่ในลำไส้ของมนุษย์
พยาธิตัวกลมจะสามารถเข้าสู่ร่างกายของคนเราได้จากการปนเปื้อนกับอาหารและน้ำดื่มเป็นหลัก โดยพยาธิตัวกลมที่พบบ่อย ได้แก่ พยาธิไส้เดือน พยาธิเส้นด้าย พยาธิปากขอ พยาธิตัวจี๊ด และพยาธิเท้าช้าง
2. พยาธิตัวตืด
พยาธิตัวตืด (Cestodes หรือ Tapeworm) มีลักษณะลำตัวแบนและเป็นปล้อง พบได้มากในสัตว์รวมถึงสามารถชอนไขเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้โดยตรง
ในบางกรณี อาจได้รับพยาธิจากการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนของพยาธิชนิดนี้ โดยพยาธิตัวตืดที่พบบ่อย ได้แก่ พยาธิตัวตืดหมู และพยาธิตัวตืดวัว
3. พยาธิใบไม้
พยาธิใบไม้ (Trematodes หรือ Fluke) มีลักษณะลำตัวลีบแบน แต่ไม่เป็นปล้อง สามารถรับเชื้อได้จากการรับประทานสัตว์น้ำจืดชนิดมีเกล็ดที่มีตัวอ่อนของพยาธิเจือปนอยู่ โดยพยาธิใบไม้ที่พบบ่อย ได้แก่ พยาธิใบไม้ในเลือด พยาธิใบไม้ในตับ และพยาธิใบไม้ในปอด
อาการที่บ่งชี้ว่ามีพยาธิอยู่ในร่างกาย
เนื่องจากพยาธิมีอยู่หลากหลายชนิด รวมถึงพยาธิแต่ละชนิดเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะไปฝังตัวอยู่ในอวัยวะคนละส่วนกัน ทำให้อาการที่บ่งชี้ว่ามีพยาธิอยู่ในร่างกายจึงแตกต่างกันออกไปตามชนิดของพยาธินั้นๆ เช่น
1. พยาธิไส้เดือน
พยาธิไส้เดือน พบได้มากในเด็กเนื่องจากเป็นวัยที่ยังไม่ทราบถึงความสำคัญของสุขอนามัยและมักนำนิ้วเข้าปากหลังสัมผัสกับพื้นดิน
ช่วงแรก หากมีพยาธิในลำไส้จำนวนไม่มากก็อาจจะยังไม่แสดงให้เห็นถึงอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด แต่เมื่อใดก็ตามที่พยาธิมีจำนวนมากขึ้นแล้ว พยาธิจะเคลื่อนตัวไปตามกระแสเลือด ไปสู่ปอด ส่วนตัวที่โตเต็มวัยจะเคลื่อนตัวไปที่ลำคอ
อาการบ่งชี้ของผู้ที่มีพยาธิไส้เดือนอยู่ในร่างกาย จึงจะมีอาการไออย่างหนัก ปวดท้อง และอาเจียนเรื้อรัง โดยอาการเหล่านี้มักเกิดหลังรับประทานอาหารเพียงครึ่งชั่วโมง การติดเชื้อพยาธิอย่างรุนแรงอาจทำให้การเจริญเติบโตของเด็กช้าลงได้
2. พยาธิเส้นด้าย
พยาธิเส้นด้ายหรือพยาธิเข็มหมุด มีอาการบ่งชี้ที่เป็นลักษณะเฉพาะ คือ เมื่อได้รับเชื้อพยาธิแล้ว ผู้ป่วยมักคันก้นมากในช่วงกลางคืน เกิดจากพยาธิตัวเมียเคลื่อนตัวมาวางไข่และขยายพันธุ์ที่ก้นผู้รับเชื้อ
ในผู้หญิงบางคนอาจมีอาการคันปากช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งปกติแล้วพยาธิเส้นด้ายจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพมากนัก เพียงแต่จะก่อให้เกิดความรำคาญ รวมถึงยังสามารถหายได้เองหากดูแลและรักษาความสะอาดอย่างถูกวิธี
3. พยาธิตัวจี๊ด
พยาธิตัวจี๊ด พบได้มากในผู้ที่ชอบรับประทานกุ้ง ปลา และเนื้อสัตว์ที่ปรุงแบบกึ่งสุกกึ่งดิบ เมื่อตัวอ่อนของพยาธิตัวจี๊ดเข้าสู่ร่างกาย พยาธิจะชอนไชไปตามส่วนต่างๆ และแสดงอาการให้เห็นภายใน 24-48 ชั่วโมง
โดยอาการที่สังเกตได้ คือ มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน รู้สึกไม่สบายตัว เบื่ออาหาร และมีผิวหนังบวมแดง ซึ่งส่วนมากพยาธิตัวจี๊ดมักจะไม่ก่อให้เกิดความรุนแรงแต่อย่างใด ยกเว้นกรณีที่พยาธิเข้าไปชอนไชบริเวณอวัยวะสำคัญ เช่น ไชขึ้นสมอง จะทำให้ปวดศีรษะอย่างรุนแรง หมดสติ และอาจเสียชีวิตได้ และไชเข้าดวงตา อาจทำให้ตาอักเสบ บวม หรือตาบอดได้
4. พยาธิตัวตืดต่างๆ
พยาธิตัวตืดที่พบบ่อย ได้แก่ พยาธิตัวตืดหมู และพยาธิตัวตืดวัว โดยพยาธิตัวตืดจะเข้าไปแฝงตัวอยู่ในกระแสเลือดแล้วสร้างถุงหุ้มตัวอ่อนตามอวัยวะต่างๆ
ซึ่งอาการจากการได้รับเชื้อพยาธิตัวตืดจะไม่ได้มีความรุนแรงมากนัก แต่การแพร่กระจายและสร้างถุงหุ้มอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
อาการทั่วไปที่พบหากมีการติดเชื้อพยาธิตัวตืด คือ หิวบ่อย กินจุแต่ผอม คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ท้องเสีย ปวดท้อง และขาดสารอาหาร
5. พยาธิใบไม้
ในระยะแรกที่เพิ่งได้รับพยาธิหรือพยาธิยังมีจำนวนไม่เยอะ ผู้ป่วยมักจะไม่แสดงอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด ก่อนจะค่อยๆ แสดงอาการเมื่อพยาธิมีการวางไข่และขยายจำนวนเพิ่มมากขึ้น
โดยอาการของพยาธิใบไม้จะแตกต่างกันตามบริเวณที่พยาธิเข้าไปวางไข่ เช่น อาการบ่งชี้ของพยาธิใบไม้ในลำไส้ ผู้ป่วยจะมีอาการท้องผูก อุจจาระเป็นสีเขียว และมีกลิ่นเหม็น อาการบ่งชี้ของพยาธิในปอด ผู้ป่วยจะมีอาการไอเรื้อรัง เสมหะมีเลือดปน เจ็บหน้า และหนาวสั่น
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดพยาธิ
พยาธิสามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายวิธี โดยปัจจัยดังต่อไปนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ทำให้เกิดการติดเชื้อพยาธิได้มากขึ้น
- รักษาสุขอนามัยไม่ดี เช่น การสัมผัสกับดินหรือปุ๋ยที่มีการปนเปื้อนของพยาธิ การไม่ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร การใช้ห้องน้ำสาธารณะ
- รับประทานอาหารที่ไม่ปลอดภัย เช่น การรับประทานอาหารดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ การรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ และการไม่ล้างผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน
- เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของพยาธิ เช่น ประเทศแถบแอฟริกา อเมริกาใต้ รวมถึงพื้นที่ชนบท ชุมชนแออัด
ผลกระทบจากการมีพยาธิอยู่ในร่างกาย
การมีพยาธิอยู่ในร่างกายจะส่งผลกระทบต่อร่างกายในหลายๆ ด้าน ขึ้นอยู่กับชนิดของพยาธิและบริเวณที่พยาธิชอนไช
ส่วนมากการมีพยาธิอยู่ในร่างกายมักจะทำให้ผู้ป่วยขาดสารอาหาร เพราะผู้ป่วยจะรู้สึกไม่อยากอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน และถึงแม้จะรับประทานเข้าไปเท่าไหร่ก็จะมีพยาธิเข้ามาแย่งสารอาหารตลอด
นอกจากนี้การมีพยาธิอยู่ในร่างกายยังส่งผลกระทบไปถึงการเจริญเติบโตอีกด้วย โดยพบว่าเด็กที่มีการติดเชื้อพยาธิจะมีพัฒนาการช้ากว่าเด็กในช่วงวัยเดียวกัน รวมถึงอาจทำให้มีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงจนเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย
การป้องกันโรคพยาธิ
การป้องกันโรคพยาธิที่ดีที่สุดคือการรักษาความสะอาด ทั้งในด้านสุขอนามัย และการสร้างพฤติกรรมที่ดีในการรับประทานอาหาร เช่น
- ล้างมือด้วยสบู่ก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ
- สวมรองเท้าเมื่อต้องเดินบนพื้นดิน
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำ ดิน สัตว์ ที่คาดว่ามีการปนเปื้อนของพยาธิ
- ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ ควรรับประทานอาหารที่ถูกปรุงให้สุกด้วยความร้อนเสมอ
การรักษาโรคพยาธิ
วิธีรักษาพยาธิจะขึ้นอยู่กับชนิดของพยาธิที่ติดเชื้อ แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะรักษาด้วยการใช้ยากำจัดพยาธิ หรือ “ยาถ่ายพยาธิ” ซึ่งเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถกำจัดและจับพยาธิออกจากทางเดินอาหารรวมถึงอวัยวะอื่นๆ ตามร่างกายได้ โดยตัวยาที่นิยมใช้ในการรักษาโรคพยาธิมีดังนี้
1. อัลเบนดาโซล
อัลเบนดาโซล (Albendazole) เป็นตัวยาที่นิยมนำมาใช้มากกว่าตัวยาชนิดอื่นๆ เพราะมีสรรพคุณในการออกฤทธิ์กว้าง ทำให้อัลเบนดาโซลสามารถกำจัดพยาธิได้เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นพยาธิตัวกลมหรือตัวแบน ออกฤทธิ์ด้วยการขัดขวางการดูดซึมน้ำตาลของพยาธิ จนพยาธิไม่มีพลังงานและตายลงในที่สุด
นอกจากนี้อัลเบนดาโซลยังสามารถออกฤทธิ์ได้กับทุกระยะของวงจรชีวิตพยาธิ ทำให้สามารถกำจัดพยาธิได้หมดจดตั้งแต่ระยะตัวเต็มวัย ตัวอ่อน ไปจนถึงไข่พยาธิ
ข้อแนะนำการใช้ยา
- ผู้ใหญ่และเด็กรับประทานยาในขนาดที่เท่ากัน คือ 400 มิลลิกรัม และใช้ยาเพียงครั้งเดียว (ระยะเวลาขึ้นอยู่กับชนิดของพยาธิ ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพิ่มเติม)
- ผู้ป่วยโรคตับหรือเคยมีประวัติเป็นโรคตับ โรคจอประสาทตา มีภาวะไขกระดูกทำงานผิดปกติ เกล็ดเลือดและเม็ดเลือดขาวต่ำ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา
- ยานี้อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ หญิงที่ตั้งครรภ์หรือกำลังวางแผนมีบุตรต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา
2. มีเบนดาโซล
มีเบนดาโซล (Mebendazole) เป็นยารักษาโรคพยาธิที่ติดเชื้อมาจากพยาธิตัวกลม เช่น พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย พยาธิปากขอ ออกฤทธิ์โดยการขัดขวางการดูดซึมน้ำตาลของพยาธิ จนพยาธิตายลงเช่นเดียวกับอัลเบนดาโซล อีกทั้งตัวยานี้ยังช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายต่อสู้กับพยาธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อแนะนำการใช้ยา
- พยาธิเข็มหมุด รับประทานยาขนาด 100 มก. ครั้งเดียวและอาจให้ซ้ำอีกครั้งในเวลา 1-2 สัปดาห์ถัดไป
- พยาธิไส้เดือน พยาธิปากขอ พยาธิแส้ม้า พยาธิสตรองจิลอยด์ รับประทานยาขนาด 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ติดต่อกัน 3 วัน หรือรับประทานยาขนาด 500 มิลลิกรัม เพียง 1 ครั้ง
- ไม่ควรใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ
- การใช้มีเบนดาโซลอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น เบื่ออาหาร ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม แต่มักเกิดขึ้นได้น้อย
3. พราซิควันเทล
พราซิควันเทล (Praziquantel) เป็นยาที่ใช้รักษาการติดเชื้อจากพยาธิใบไม้และพยาธิตัวตืดต่างๆ โดยยาจะออกฤทธิ์ด้วยการทำให้พยาธิเป็นอัมพาตและตายไป ก่อนจะขับพยาธิที่ตายแล้วออกทางอุจจาระ
พราซิควันเทล สามารถใช้ได้กับทุกเพศทุกวัย โดยแพทย์มักจะแนะนำให้ใช้ยาตัวนี้เป็นตัวแรกในการรักษาพยาธิใบไม้ บางตำรับยาอาจมีการใช้ร่วมกับยาไพแรนเทล (Pyrantel)
ข้อควรระวังในการใช้ยา
- ห้ามให้นมบุตรระหว่างที่ใช้ยา และเว้นระยะอย่างน้อย 3 วันหลังใช้ยาครั้งสุดท้ายก่อนเริ่มให้นมบุตรอีกครั้ง
- ก่อนใช้ยาควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากกำลังตั้งครรภ์หรือวางแผนจะตั้งครรภ์
4. นิโคลซาไมด์
นิโคลซาไมด์ (Niclosamide) เป็นยารักษาการติดเชื้อพยาธิตัวตืด ออกฤทธิ์โดยการเข้าไปขัดขวางกระบวนการสร้างพลังงานและดูดซึมน้ำตาล ทำให้พยาธิขาดอาหารและตาย ก่อนที่จะถูกขับออกมาผ่านการอุจจาระในที่สุด
โดยนิโคลซาไมด์สามารถรักษาได้เพียงพยาธิตัวตืดเท่านั้น ไม่สามารถรักษาพยาธิชนิดอื่นๆ ได้
ข้อควรระวังในการใช้ยา
- ควรใช้ยาป้องกันการอาเจียนก่อนใช้ยาถ่ายพยาธิ 1-2 ชั่วโมง
- ผู้ป่วยควรรับประทานยาระบายหลังใช้ยานิโคลซาไมด์ เพื่อถ่ายตัวพยาธิและไข่พยาธิออกไป
ถึงแม้ยาถ่ายพยาธิจะดูเป็นยาที่สามารถหาซื้อใช้ได้ง่าย แต่จริงๆ แล้วยาถ่ายพยาธิจำเป็นที่จะต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อน เพื่อให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงและแนะนำตัวยาที่เหมาะสมให้