ภาวะน้ำลายไหล (Drooling)

ภาวะน้ำลายไหล มักเกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณรอบปาก และการผลิตน้ำลายของต่อมน้ำลายที่มากเกินไป เกิดได้จากหลายสาเหตุ และสามารถรักษาให้หายได้ในผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงนัก
เผยแพร่ครั้งแรก 23 พ.ค. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
ภาวะน้ำลายไหล (Drooling)

ภาวะน้ำลายไหล มักเกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณรอบปาก และการผลิตน้ำลายของต่อมน้ำลายที่มากเกินไป เกิดได้จากหลายสาเหตุ และสามารถรักษาให้หายได้ในผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงนัก

ภาวะน้ำลายไหล (Drooling) คือการที่มีน้ำลายไหลออกมาจากปากโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งมักเป็นผลจากการมีกล้ามเนื้อรอบปากอ่อนแรง กล้ามเนื้อรอบปากพัฒนาไม่เต็มที่ หรือเนื่องจากมีน้ำลายมากเกินไป

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

น้ำลายจะถูกสร้างขึ้นจากต่อมน้ำลาย (Salivary gland) ที่มีทั้งหมด 6 ต่อม กระจายอยู่ในช่องปาก บริเวณแก้ม และใกล้กับฟันหน้า ต่อมน้ำลายสามารถสร้างน้ำลายในปริมาณ 1-2 ลิตรต่อวัน หากต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายมากกว่านี้ ก็อาจทำให้เกิดภาวะน้ำลายไหลได้

ภาวะน้ำลายไหลมักพบได้เป็นปกติในเด็กอายุ 2 ปีแรก เนื่องจากทารกยังมีพัฒนาการกล้ามเนื้อปากไม่สมบูรณ์และไม่สามารถควบคุมการกลืนได้เต็มที่ และอาจพบได้ในคนที่มีความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น ภาวะสมองพิการ (Cerebral Palsy)

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะน้ำลายไหล

ภาวะน้ำลายไหล อาจเป็นอาการหนึ่งของความผิดปกติทางการแพทย์ การมีพัฒนาการช้า หรือผลจากการใช้ยาบางชนิด ปัจจัยใดก็ตามที่ทำให้เกิดการผลิตน้ำลายมากกว่าปกติ กลืนอาหารได้ยาก หรือเกิดปัญหาในการควบคุมกล้ามเนื้อปาก อาจนำไปสู่ภาวะน้ำลายไหลได้ทั้งสิ้น เช่น

  • อายุ : ภาวะน้ำลายไหลจะเกิดขึ้นในทารกหลังคลอด และจะพบมากที่สุดเมื่อทารกอายุได้ 3-6 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ทารกมีพัฒนาการมากขึ้น การเกิดภาวะน้ำลายไหลในทารกเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะเมื่อทารกเริ่มมีฟันขึ้น
  • อาหาร : อาหารที่เป็นกรดมาก จะทำให้เกิดการสร้างน้ำลายมากขึ้น ซึ่งบางครั้งอาจทำให้มีภาวะน้ำลายไหลได้เช่นกัน
  • ความผิดปกติทางระบบประสาท : ความผิดปกติทางการแพทย์บางอย่าง อาจทำให้เกิดภาวะน้ำลายไหลได้ เช่น ภาวะสมองพิการ โรคพาร์กินสัน โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิด ALS หรือภาวะเส้นเลือดในสมองแตก อาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง ทำให้ไม่สามารถปิดปากและกลืนน้ำลายได้ปกติ
  • ปัจจัยอื่นๆ : ภาวะหรือโรคอื่นๆ เช่น ภูมิแพ้ มะเร็ง และการติดเชื้อในส่วนที่เหนือลำคอขึ้นไป อย่างโรคคออักเสบ ทอนซิลอักเสบ และไซนัสอักเสบ ก็อาจทำให้เกิดปัญหาในการกลืนอาหารจนทำให้เกิดภาวะนี้ได้

การรักษาภาวะน้ำลายไหล

การรักษาภาวะน้ำลายไหล จะทำเฉพาะในผู้ที่มีอาการรุนแรงเท่านั้น เช่น มีน้ำลายไหลจากปากลงไปถึงเสื้อผ้า ภาวะดังกล่าวรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน และสร้างปัญหาในการเข้าสังคม หรือที่รุนแรงที่สุดคือ การมีน้ำลายมากเกินไปจนทำให้เกิดการสูดน้ำลายลงไปสู่ปอด ทำให้เกิดอาการปอดบวม

แพทย์จะทำการตรวจประเมินอาการ และหาแนวทางที่เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละคนมากที่สุด โดยวิธีรักษาที่แพทย์มักแนะนำ คือ

  • การใช้ยา : แพทย์อาจสั่งยาบางชนิดที่มีฤทธิ์ลดการสร้างน้ำลาย ซึ่งได้แก่
    • Scopolamine (Transderm Scop) : อยู่ในรูปแผ่นแปะบนผิวหนัง เพื่อให้ตัวยาค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย แผ่นแปะนี้มีอายุการใช้งาน 72 ชั่วโมง
    • Glycopyrrolate (Robinul) : อยู่ในรูปยาฉีดหรือยาเม็ดสำหรับกิน ยาชนิดนี้จะลดการสร้างน้ำลาย แต่อาจมีผลข้างเคียงคือทำให้ปากแห้ง
    • Atropine sulfate : เป็นยาสำหรับหยอดปาก มักใช้ในผู้ป่วยหนัก หรือผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่มีภาวะน้ำลายไหล
  • การบำบัด : การบำบัดจะดำเนินการโดยนักอรรถวิทยา หรือนักกิจกรรมบำบัด ซึ่งจะสอนท่าทางและวิธีในการควบคุมกล้ามเนื้อ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถปิดปากและกลืนน้ำลายได้
  • การใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางทันตกรรม : แพทย์อาจให้ใส่อุปกรณ์พิเศษบางอย่างไว้ภายในปาก เพื่อช่วยให้ปากปิดได้สนิทในระหว่างที่กลืนอาหาร เช่น แก้วครอบคาง (Chin Cup) หรืออุปกรณ์ทันตกรรมอื่นๆ เพื่อจัดกล้ามเนื้อปากและตำแหน่งของลิ้นขณะกลืนอาหาร
  • การฉีดโบท็อกซ์ : การฉีดโบท็อกซ์จะช่วยบรรเทาอาการน้ำลายไหล เพราะทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าตึงกระชับขึ้น
  • การผ่าตัด : โดยทั่วไปแล้วมักผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนช่องทางการหลั่งน้ำลายจากท่อน้ำลายบริเวณหลังช่องปาก เพื่อไม่ให้มีน้ำลายไหลออกมาจากปาก หรือตัดต่อมน้ำลายออกโดยสมบูรณ์ แต่วิธีนี้จะใช้ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมากเท่านั้น

แม้ภาวะน้ำลายไหลจะเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการในเด็ก แต่หากสังเกตว่าเด็กมีน้ำลายไหลออกมามากเกินไป หรือมีอาการอื่นๆ ที่น่ากังวล ก็ควรรีบพาไปพบแพทย์ เพราะมีความผิดปกติทางการแพทย์หลายอย่างที่ทำให้เกิดภาวะน้ำลายไหลได้

ที่มาของข้อมูล

Healthline, What Causes Drooling? (https://www.healthline.com/symptom/drooling), December 2017


11 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Drooling Causes and Treatments. Verywell Health. (https://www.verywellhealth.com/what-causes-drooling-1191909)
Drooling: Causes, Risk Factors, and Treatments. Healthline. (https://www.healthline.com/health/drooling)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)