การอบรมสั่งสอนลูก เป็นอีกบทบาทหน้าที่หนึ่งของคุณพ่อคุณแม่ที่จะทำให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพ แต่บางครั้งลูกก็ไม่ได้ทำตามที่ใจคุณพ่อคุณแม่ต้องการเสมอ ทำให้คุณพ่อคุณแม่อาจมีอารมณ์หงุดหงิด โมโห ไม่พอใจ
จนบางครั้งเกิดการทะเลาะกัน ขึ้นเสียงโวยวาย จบท้ายด้วยการทำโทษด้วยการตี เพื่อคาดหวังว่าลูกจะไม่ทำสิ่งที่ผิดพลาดอีก
เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้อาจสร้างแผลในใจให้กับลูก และส่งผลเสียต่อพฤติกรรมและอารมณ์ของลูกได้เมื่อลูกโตขึ้น
การทำโทษลูก เป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่?
การทำโทษหรือการลงโทษ เป็นรูปแบบหนึ่งของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อให้พฤติกรรมที่ไม่ดีลดหายไป และมีพฤติกรรมที่ดีๆ เกิดขึ้นทดแทน ซึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้นเป็นหนึ่งในหลักที่ใช้สร้างวินัยให้เด็ก
การทำโทษมี 2 แบบ ได้แก่
- การทำโทษทางบวก (Positive punishment) เป็นการให้สิ่งเร้าที่ลูกไม่พึงพอใจ เพื่อทำให้พฤติกรรมของลูกลดลง เช่น การตี
- การทำโทษทางลบ (Negative punishment) การนำสิ่งเร้าที่ลูกพึงพอใจหรือสิ่งเสริมแรงออกไป ทำให้พฤติกรรมของลูกลดลง เช่น การงดเวลาในการดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมส์
อย่างไรก็ตาม การจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลูกให้ดี มีระเบียบวินัยขึ้น ไม่จำเป็นต้องทำโทษเพียงอย่างเดียว การอบรมสั่งสอนลูกก็มีหลากหลายวิธีให้คุณพ่อคุณแม่หรือผู้เลี้ยงดูสามารถนำไปปรับใช้ได้
เช่น การให้แรงเสริมทางบวก การให้เด็กเรียนรู้ผ่านผลของการกระทำ เป็นต้น
ทำอย่างไรไม่ให้ลูกเกิดปมในใจ?
คุณพ่อคุณแม่หรือผู้เลี้ยงดูมักจะคาดหวังให้ลูกทำในสิ่งที่ตนต้องการ ไม่ดื้อ ไม่ซน และอยู่ในระเบียบวินัยที่พ่อแม่ตั้งกฎเกณฑ์ไว้
เมื่อลูกไม่ปฏิบัติตามนั้น แน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่หรือผู้เลี้ยงดูก็จะรู้สึกไม่ดี อาจใช้การบ่น ดุ ว่า หรือตะโกนใส่ลูก
บางคนเลือกใช้การทำโทษทางกาย เช่น การตี เพื่อให้ลูกสำนึกผิดและหวังผลให้ไม่ทำพฤติกรรมนั้นๆ ซ้ำอีก
การกระทำของคุณพ่อคุณแม่หรือผู้เลี้ยงดูทั้งหลายเหล่านี้จะส่งผลต่อสมองส่วนจำให้จดจำเหตุการณ์ด้านลบมากขึ้น ยิ่งทำซ้ำๆ สมองก็ยิ่งจำมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อการกระทำหรือพฤติกรรมของเด็กเมื่อเด็กโตขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลถึงสมองส่วนอารมณ์และจิตใจทำให้เกิดความเครียด นำมาซึ่งปัญหาทางอารมณ์และปัญหาทางจิตใจได้
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว เมื่อลูกทำผิดร่วมกับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้เลี้ยงดูอยากอบรมสั่งสอนลูก จึงควรปฏิบัติดังนี้
- ควบคุมอารมณ์ของตนเอง ไม่ให้โกรธ อาละวาด หรือโมโหจนเกินไป คุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูควรใจเย็น และให้เด็กได้แสดงความรู้สึกของตนเองออกมาก่อน
- พูดคุยกับลูกด้วยเหตุผลเมื่อลูกสงบลง โดยใช้คำพูดและประโยคให้เหมาะสมกับความเข้าใจตามวัยของลูก
- รับฟังลูก อย่าตัดสินลูกจากมุมมองของตนเองเพียงฝ่ายเดียว
- หาข้อตกลงร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และวางแผนแนวทางในการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในครั้งต่อๆ ไป
- ควรหลีกเลี่ยงการนำเรื่องไม่ดีหรือพฤติกรรมไม่เหมาะสมของลูกไปเล่าสู่ให้บุคคลอื่นฟังจนเกินไป หรือพูดคุยเปรียบเทียบเด็กคนอื่นให้ลูกฟัง เพราะอาจทำให้ลูกรู้สึกอับอาย น้อยใจ และมองเห็นคุณค่าในตัวเองลดลง
- ชมเชยลูกเมื่อลูกทำสิ่งที่เหมาะสมและมีพฤติกรรมที่ดี เพื่อให้ลูกมองเห็นคุณค่าในตัวเองและส่งเสริมให้เกิดการกระทำที่เหมาะสมมากขึ้น
วิธีทำโทษลูกแบบไหนถึงเหมาะสม และได้ผลดี?
คุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูควรให้การอบรมสั่งสอนเด็ก โดยใช้วิธีการฝึกวินัยเชิงบวก มากกว่าการบังคับให้เด็กทำตามที่เราต้องการ
เพราะการบังคับให้ลูกทำในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการ ถึงแม้ว่าลูกอาจจะยอมทำตาม แต่จะเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ และการบังคับไม่ได้ทำให้เด็กเรียนรู้หรือควบคุมวินัยด้วยตัวของตัวเอง
บางครั้งจะยิ่งทำให้ลูกรู้สึกต่อต้านและเกิดปัญหาพฤติกรรมหรือปัญหาทางอารมณ์ตามมาได้
ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูควรฝึกลูกให้รู้จักระเบียบวินัยโดยใช้ความเข้าใจ ใส่ใจ ใจเย็น และมีเหตุผล รวมทั้งเมื่อลูกทำผิดก็ควรเลือกวิธีการจัดการกับพฤติกรรมดังกล่าวให้เหมาะสมสำหรับแต่ละช่วงวัย ดังนี้
การทำโทษเด็กเล็กแรกเกิดจนถึง 1 ปี
คำแนะนำสำหรับการปรับพฤติกรรมเด็กวัยนี้ ได้แก่
- เรื่องกิจวัตรประจำวัน เช่น การกิน การนอน การเล่นและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เลี้ยงดู เป็นเรื่องหลักที่ต้องคำนึงถึง เมื่อลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ร้องไห้โวยวายมากเกินไป คุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูควรหาสาเหตุและแก้ไขที่สาเหตุดังกล่าว
- ควรจัดตารางกิจกรรมที่ให้สม่ำเสมอในแต่ละวัน เพื่อให้ลูกคาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ และรู้สึกมั่นคงปลอดภัย
- ไม่ควรสอนหรือทำโทษโดยการทำ Time-out การตี หรือให้ลูกเรียนรู้จากผลของการกระทำ เพราะลูกยังเล็กเกินไป
การทำโทษเด็กวัย 1-2 ปี
คำแนะนำสำหรับการปรับพฤติกรรมเด็กวัยนี้ ได้แก่
- เด็กวัยนี้เป็นวัยที่เริ่มเป็นตัวของตัวเอง มีพัฒนาการทางร่างกายเพิ่มมากขึ้น อยากค้นหาสิ่งใหม่ๆ เสมอ และเริ่มเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูควรใช้วิธีการทำโทษโดยให้ลูกเรียนรู้จากผลของการกระทำ โดยอยู่ภายใต้การดูแลความปลอดภัยจากผู้เลี้ยงดู
- คุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูจะต้องมีความอดทนเพิ่มขึ้น เนื่องจากเด็กวัยนี้มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงขึ้นลงง่าย
- ใช้วิธี Time-out ได้ แต่ผู้ปกครองควรอยู่กับลูกด้วยเสมอ
- หลีกเลี่ยงการอธิบายเรื่องเหตุและผลที่มากเกินไปให้ลูกรับฟัง เพราะวัยนี้ยังไม่สามารถเชื่อมโยงเรื่องเหตุและผลได้
การทำโทษเด็กวัย 2-3 ปี
คำแนะนำสำหรับการปรับพฤติกรรมเด็กวัยนี้ ได้แก่
- เด็กวัยนี้เริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง คุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูควรเข้าใจและยอมรับพัฒนาการตามช่วงวัย ควรเชื่อมโยงเหตุการณ์กับพฤติกรรมที่ลูกกระทำ หาสาเหตุและแก้ไข เพื่อจัดการกับพฤติกรรมนั้นๆ ไม่ให้เกิดซ้ำ
- ใช้วิธีการเบี่ยงเบนความสนใจเมื่อเกิดพฤติกรรมร้องกรี๊ดอาละวาด
- เริ่มพูดคุยโดยใช้เหตุและผล และอธิบายสิ่งที่ควรปฏิบัติให้ลูกฟังเมื่อลูกสงบลง
การทำโทษเด็กวัย 3-5 ปี
คำแนะนำสำหรับการปรับพฤติกรรมเด็กวัยนี้ ได้แก่
- เด็กวัยนี้เริ่มยอมรับ ควบคุมอารมณ์ และความต้องการของตนเองได้ การพูดคุยโดยใช้เหตุและผลสามารถทำได้มากขึ้น
- เด็กวัยนี้ยังต้องการแบบอย่างที่ดีและแบบอย่างที่ควรปฏิบัติเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้
- การให้คำชมเชยและรางวัลเมื่อลูกทำพฤติกรรมที่ดีๆ จะส่งผลให้ลูกมีพฤติกรรมที่ดีมากขึ้น
การทำโทษเด็กวัย 6-12 ปี
คำแนะนำสำหรับการปรับพฤติกรรมเด็กวัยนี้ ได้แก่
- คุณพ่อคุณแม่และผู้เลี้ยงดูควรปล่อยให้เด็กได้คิดและตัดสินใจด้วยตัวของตัวเอง ภายใต้การดูแลและให้คำแนะนำจากตน
- ควรพูดคุยโดยให้เหตุและผลแก่ลูก ให้ลูกเรียนรู้จากผลของการกระทำ เช่น “หนูเล่นของเล่นแรงๆ จนพัง หนูก็จะไม่มีของเล่นไว้เล่นอีก”
- ชมเชยและให้รางวัลเมื่อลูกมีพฤติกรรมที่ดีๆ
- เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ลูก
- เลือกใช้วิธีการทำโทษ โดยงดเว้นสิ่งที่ลูกพึงพอใจหรือสิ่งที่ลูกต้องการเมื่อทำผิด เช่น “วันนี้หนูไม่ยอมทำการบ้าน แม่จะไม่ให้หนูโทรทัศน์ 2 วัน” เป็นต้น
การทำโทษเด็กวัยรุ่น
คำแนะนำสำหรับการปรับพฤติกรรมเด็กวัยนี้ ได้แก่
- เด็กวัยนี้จะยึดถือกลุ่มเพื่อนและแบบอย่างจากบุคคลที่ตนเองชื่นชอบเป็นหลัก ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ปกครองเริ่มลดลง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่หรือผู้เลี้ยงดูควรให้ความมั่นใจและความเชื่อใจกับลูกว่าตนยังอยู่เคียงข้างลูกเสมอ
- สร้างกฎ กติกาจากการหาข้อตกลงร่วมกัน โดยหลีกเลี่ยงการตัดสินจากคุณพ่อคุณแม่หรือผู้เลี้ยงดู
- หลีกเลี่ยงการทำโทษทางกายโดยการตี หรือการทำร้ายร่างกาย
- คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกเลือกวิธีการแก้ไขปัญหา หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยตนเองภายใต้ผลของการกระทำที่ยอมรับได้