เกณฑ์ในการประเมินและเลือกเอ็มบริโอ
คลินิกส่วนใหญ่ มักมีเกณฑ์ในการพิจารณาว่าเอ็มบริโอใดดีที่สุด และควรนำเข้าสู่มดลูกเป็นอันดับแรก ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าว ได้แก่
- ความเร็วในการแบ่งตัวของเอ็มบริโอ : โดยดูว่าเอ็มบริโอสามารถเจริญไปถึงระยะหนึ่งๆ (เช่น ระยะแรกของการแบ่งตัว หรือระยะบลาสโตซิสต์) ได้เร็วแค่ไหน
- ลักษณะรูปร่างของเอ็มบริโอ: ผู้เชี่ยวชาญจะแปรผล โดยดูจากลักษณะจำเพาะบางอย่างของเอ็มบริโอ
- ผลการตรวจทางพันธุกรรม (PGS): เป็นผลจากห้องปฏิบัติการกลาง ว่าเอ็มบริโอมีจำนวนโครโมโซมปกติหรือไม่
ความเร็วในการแบ่งตัวของเอ็มบริโอ
มีการศึกษาระบุว่า ความเร็วในการเจริญของเอ็มบริโอไปสู่ระยะหนึ่งๆ (เช่น ระยะบลาสโตซิสต์) จะสัมพันธ์กับโอกาสสำเร็จในการทำ IVF จากภาพด้านล่างนี้ คือข้อมูลจากการนำเอ็มบริโอที่เก็บแช่แข็งเข้าสู่มดลูกกว่า 1,000 ครั้ง โดยแบ่งตามระยะเวลา (วัน) ที่เอ็มบริโอเจริญถึงระยะบลาสโตซิสต์ จะเห็นว่าเอ็มบริโอที่สามารถเข้าสู่ระยะบลาสโตซิสต์ได้ในวันที่ 5 มีแนวโน้มที่จะเจริญเป็นทารกได้สูงกว่า เอ็มบริโอที่เข้าสู่ระยะบลาสโตซิสต์ในวันที่ 6
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ส่วนเอ็มบริโอที่เข้าสู่ระยะบลาสโตซิสต์ในวันที่ 7 จะมีโอกาสเจริญเป็นทารกได้ต่ำกว่าเอ็มบริโอที่เข้าสู่ระยะบลาสโตซิสต์ในวันที่ 5 และ 6 ดังนั้น คลินิกส่วนใหญ่จึงมักหลีกเลี่ยงการใช้เอ็มบริโอที่เข้าสู่ระยะบลาสโตซิสต์ช้ากว่าวันที่ 6 เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจตามมา
ลักษณะรูปร่างของเอ็มบริโอ
การประเมินลักษณะรูปร่างของเอ็มบริโอจะถูกแปรผลเป็นคะแนนที่มีตัวเลขตามด้วยตัวอักษร 2 ตัว (เช่น 4AB) ซึ่งตัวเลขและตัวอักษรเหล่านี้จะบ่งบอกว่า เอ็มบริโอมีการขยายขนาดมากขึ้นแค่ไหน มีเซลล์ที่อยู่ภายในที่เจริญเป็นฟีตัส) และเซลล์เยื่อหุ้มภายนอก (Trophectoderm) ที่จะเจริญเป็นรกมากเท่าใด
แม้ตัวเลขการขยายขนาดจะอยู่หน้าสุด แต่ส่วนสำคัญที่สุดคือเซลล์ที่อยู่ภายในหรือส่วนที่จะเจริญเป็นฟีตัส จากการศึกษาพบว่า เอ็มบริโอที่มีลักษณะรูปร่างดีกว่า มีโอกาสที่จะเจริญไปเป็นทารกและคลอดออกมาได้มากกว่า แต่ถึงอย่างนั้น ลักษณะรูปร่างของเอ็มบริโอก็ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกสำเร็จได้เสมอไป
ผลการตรวจกรองทางพันธุกรรม (PGS)
การตรวจกรองทางพันธุกรรมในเอ็มบริโอ เป็นวิธีที่ช่วยคัดเอ็มบริโอที่ไม่สมบูรณ์ออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีหลักฐานที่พบว่าเอ็มบริโอที่มีโครโมโซมผิดปกติก็สามารถเจริญไปเป็นทารกได้ แต่ก็พบน้อยมาก แต่หลักเกณฑ์ข้อนี้สามารถใช้ได้กับผู้เข้ารับการตรวจ IVF ที่ได้ทำ PGS เท่านั้น
IVF, IUI, ICSI, IMSI ฝากไข่ แช่แข็งไข่วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 7760 บาท ลดสูงสุด 59%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
จะทำอย่างไร หากผลการตรวจ PGS และผลการประเมินลักษณะรูปร่างของเอ็มบริโอขัดแย้งกัน?
เป็นไปได้ที่เอ็มบริโอซึ่งมีความผิดปกติตามผลตรวจ PGS จะสามารถเจริญได้ไว และมีลักษณะดีมาก ในทางกลับกัน เอ็มบริโอที่ผ่านการตรวจ PGS แล้วพบว่าปกติ ก็อาจมีลักษณะรูปร่างที่ไม่ดีได้เช่นกัน ในกรณีนี้ แพทย์จะยึดตามผลตรวจ PGS เป็นหลัก และถือว่าเอ็มบริโอที่เป็น Euploid นั้นมีความสำคัญมากที่สุด
ที่มาของข้อมูล
Which Embryo To Transfer? (https://www.fertilityiq.com/ivf-in-vitro-fertilization/which-embryo-to-transfer#criteria-for-evaluating-an-embryo)