กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD

แนวทางการใช้ยาเพื่อกระตุ้นรังไข่ในการทำ IVF

ทำความเข้าใจกับการกระตุ้นรังไข่ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของการทำ IVF พร้อมรายละเอียดของยาที่จะนำมาใช้ในขั้นตอนนี้
เผยแพร่ครั้งแรก 30 พ.ค. 2019 อัปเดตล่าสุด 17 ม.ค. 2023 เวลาอ่านประมาณ 5 นาที
แนวทางการใช้ยาเพื่อกระตุ้นรังไข่ในการทำ IVF

การทำ IVF หรือ In Vitro Fertilization เป็นวิธีการรักษาภาวะมีบุตรยากที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน แต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่สูง และมีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนพอสมควร

ขั้นตอนแรกคือการฉีดฮอร์โมนในผู้หญิงที่เข้ารับการทำ IVF เพื่อกระตุ้นรังไข่ให้เกิดการเจริญของถุงไข่อ่อน (Follicle) จำนวนมาก ซึ่งจะมีไข่ที่เจริญเต็มที่แล้วอยู่ภายใน

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

ทำไมจึงต้องกระตุ้นรังไข่?

ในแต่ละขั้นตอนของการทำ IVF จะมีไข่และเอ็มบริโอจำนวนหนึ่งที่ต้องสูญเสียไป (ตามรายละเอียดด้านล่างนี้) ดังนั้น ผู้หญิงจึงจำเป็นต้องมีไข่จำนวนมากในตอนเริ่มแรก

ตามปกติแล้ว ควรจะเก็บไข่ให้ได้ประมาณ 15 - 20 ใบ ถ้าดูจากกราฟที่รวบรวมจากผู้เข้ารับการทำ IVF จำนวน 38,000 คนในยุโรปด้านล่าง จะเห็นว่า โอกาสการทำ IVF สำเร็จ (เส้นสีเขียว) จะสูงขึ้นหากเก็บไข่ได้จำนวนมากขึ้น แต่การเก็บจำนวนมากขนาดนั้นมักทำได้ยาก และถ้าเก็บได้ถึง 15 - 20 ใบ โอกาสความสำเร็จจะไม่สูงขึ้นอีก แต่อัตราการเกิดภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกิน (OHSS) (เส้นสีชมพู) จะพุ่งสูงขึ้นแทน ซึ่งภาวะ OHSS ทำให้ผู้หญิงเกิดความเจ็บปวดรุนแรงจนอาจเป็นอันตรายได้

ด้วยเหตุนี้ แพทย์จึงมักเก็บไข่ให้ได้จำนวน 15 - 20 ใบต่อการทำ IVF หนึ่งรอบ ซึ่งในรอบเดือนปกตินั้น ผู้หญิงจะมีไข่ตกเพียง 1 ใบ เพื่อทำให้มีไข่ที่เจริญมีจำนวนมากขึ้น แพทย์จึงต้องให้ยาเพื่อกระตุ้นให้ฟอลลิเคิลจำนวนมากในรังไข่เจริญในคราวเดียวกัน

การเลือกให้ยาหลายตัวร่วมกัน และปริมาณยาแต่ละตัวที่ให้ จะมีการเรียกว่า “แนวทางการใช้ยา” โดยมี 2 สิ่งที่ต้องพิจารณา ได้แก่

  1. การใช้โกนาโดโทรปิน (Gonadotropin) ปริมาณมากเท่าไหร่?
  2. ยาตัวใดบ้างที่จะนำมาใช้ร่วมกับโกนาโดโทรปิน?

ปริมาณโกนาโดโทรปินที่ใช้

โกนาโดโทรปินเป็นฮอร์โมนสำหรับฉีดช่วยกระตุ้นการโตของฟอลลิเคิลจำนวนมากในคราวเดียว รวมถึงไข่ที่อยู่ภายใน

ปริมาณโกนาโดโทรปินมักคำนวณเป็นหน่วย “International Units” ซึ่งอยู่ในช่วงตั้งแต่ 0 ถึง 900 ผู้ที่เข้ารับการทำ IVF ส่วนมากจะได้รับในปริมาณ 250 - 450 IU ต่อวัน ปริมาณโกนาโดโทรปินมีความสำคัญมาก เพราะถ้าหากใช้น้อยเกินไป ไข่ที่เก็บได้จะมีจำนวนน้อย แต่ถ้าหากใช้มากเกินไป ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นเกินขนาดในผู้หญิง (OHSS) ได้

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

การเลือกแนวทางการใช้ยา

แม้โกนาโดโทรปินจะเป็นตัวยาที่สำคัญที่สุด แต่ตามหลักการแล้ว แพทย์จะให้ยาร่วมกับโกนาโดโทรปินอีก 2 ชนิด เพื่อยับยั้งไม่ให้มีการตกไข่ก่อนเก็บไข่ และเพื่อเหนี่ยวนำให้ไข่เจริญจนสามารถเก็บได้ ตามตารางด้านล่างนี้

การกระตุ้นระบบสืบพันธุ์โดยใช้ยา 3 ประเภท

ประเภทของยา บทบาท ตัวเลือก หมายเหตุ

กระตุ้น

กระตุ้นการโตของฟอลลิเคิลและไข่

โกนาโดโทรปิน

มีประสิทธิภาพดี ใช้วิธีการฉีด ราคาประมาณ 100,000 - 150,000 บาท เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะ OHSS จำเป็นต้องให้ทั้ง FSH และ FSH + LH

FSH

ยา Gonal-F หรือ Follistim ให้ผลไม่ต่างกัน

FSH + LH

ยาที่สามารถใช้ได้มีเพียง Menopur

Clomid

ให้โดยการรับประทาน ราคาถูก แต่ประสิทธิภาพต่ำกว่า

ยับยั้ง

ยับยั้งการตกไข่ก่อนเก็บไข่

Lupron

ออกฤทธิ์ช้า ใช้ก่อนเริ่มให้โกนาโดโทรปิน

Ganirelix หรือ Cetrotide

ออกฤทธิ์เร็ว ใช้หลังจากให้โกนาโดโทรปินไปแล้ว 5 วัน

เหนี่ยวนำ

ทำให้ไข่เจริญพร้อมต่อการเก็บ

Lupron

ออกฤทธิ์ที่ฟอลลิเคิลโดยตรง ลดความเสี่ยงต่อภาวะ OHSS ได้มาก

HCG

ออกฤทธิ์ที่ฟอลลิเคิลโดยตรง

รายละเอียดของยาแต่ละชนิด มีดังนี้

  1. ยาที่กระตุ้นการตกไข่|
    เป็นตัวยาที่ช่วยกระตุ้นการโตของฟอลลิเคิลจำนวนมากในคราวเดียว รวมถึงการเจริญของไข่ด้วย ซึ่งยากลุ่มนี้ ได้แก่
    • โกนาโดโทรปิน (Gonadotropin) : ฮอร์โมนโกนาโดโทรปินมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ FSH และ LH จากงานวิจัยส่วนมากระบุว่าผู้ป่วยควรใช้ทั้งสองชนิดในการทำ IVF สำหรับการให้ FSH จะใช้ในรูปของยา Gonal-F หรือ Follistim (มักสามารถใช้แทนกันได้) ส่วนการให้ FSH + LH ผู้หญิงส่วนมากจะได้รับในรูปยา Menopur
    • โคลมิด (Clomid) : เป็นยาที่ออกฤทธิ์ทางอ้อม โดยสั่งการให้สมองหลั่งโกนาโดโทรปินมากขึ้น เพื่อกระตุ้นการโตของฟอลลิเคิลในรังไข่ โคลมิดจึงไม่ได้ออกฤทธิ์กับรังไข่โดยตรง จึงมีความเสี่ยงต่อภาวะ OHSS น้อยกว่า แต่ประสิทธิภาพก็ต่ำกว่าเช่นกัน
  2. ยาที่ยับยั้งการตกไข่
    เมื่อมีฟอลลิเคิลที่โตขึ้นจำนวนมาก จะต้องป้องกันไม่ให้เกิดการตกไข่ก่อนที่จะเก็บไข่ออกมา ตัวยาเหล่านี้จะส่งสัญญาณไปยังสมองเพื่อยับยั้งไม่ให้ไข่ตก ซึ่งตัวยากลุ่มนี้ ได้แก่
    • Lupron : เป็นยาที่ออกฤทธิ์ช้า ต้องใช้ติดต่อกันนานหลายวัน และต้องให้ก่อนเริ่มการกระตุ้นรังไข่
    • Ganirelix หรือ Cetrotide : ยาสองตัวนี้จะออกฤทธิ์ได้ทันที และจะเริ่มให้หลังการกระตุ้นรังไข่ไปแล้ว 5 - 6 วัน
  3. ยาที่เหนี่ยวนำการเจริญของไข่
    ตัวยาเหล่านี้ออกฤทธิ์ตรงข้ามกับยายับยั้งการตกไข่ โดยจะส่งสัญญาณให้ไข่ภายในฟอลลิเคิลเจริญเต็มที่พร้อมต่อการเก็บไข่ ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่
    • hCG : จะออกฤทธิ์ที่ฟอลลิเคิลโดยตรง และอาจทำให้เกิดภาวะ OHSS ได้
    • Lupron : จะไปสั่งการให้สมองหลั่ง LH มากขึ้น และส่งสัญญาณให้ไข่เจริญพร้อมต่อการตกไข่ Lupron สามารถลดการเกิดภาวะ OHSS ได้ดีมาก

รูปแบบกลไกของแนวทางการใช้ยาแต่ละแบบ

หลักๆ แล้ว แนวทางการใช้ยาที่แพทย์มักเลือกใช้ มีด้วยกัน 3 ประเภท ได้แก่

  1. แนวทางการใช้ยาแบบ Long Agonist
    เป็นแนวทางการใช้ยาแบบดั้งเดิมที่สุด และมีประสิทธิภาพมากในการยับยั้งการตกไข่ที่ยังไม่เจริญเต็มที่ อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้มีผลเสียอยู่ 2 ข้อ ได้แก่
    • ต้องให้ยาโดยการฉีดเป็นระยะเวลานาน (เริ่มตั้งแต่รอบเดือนก่อนหน้า)
    • ผู้ป่วยต้องได้รับ hCG เพื่อกระตุ้นการเจริญของไข่ โดยไม่สามารถใช้ Lupron แทนได้ (เนื่องจากได้รับ Lupron เพื่อยับยั้งการตกไข่ไปแล้ว) ซึ่ง Lupron เป็นยาตัวเดียวที่ป้องกันภาวะ OHSS ได้ ดังนั้น ในผู้ป่วยที่อาจเกิดภาวะ OHSS (เช่น ผู้หญิงที่มีถุงน้ำในรังไข่ หรือมี AFC หรือ AMH สูง) ต้องหลีกเลี่ยงแนวทางนี้
  2. แนวทางการใช้ยาแบบ Antagonist
    เป็นแนวทางที่นิยมใช้กันมากที่สุด มีจุดเด่นอยู่ที่ระยะเวลาที่ให้ยาชนิดฉีดสั้นกว่า และมีอัตราการเกิด OHSS ต่ำกว่า เนื่องจากการใช้ Lupron เป็นตัวยากระตุ้นไข่ ด้วยเหตุนี้ แนวทางแบบ Antagonist จึงเหมาะกับผู้หญิงที่มีโอกาสเกิดภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกิน หรือ OHSS ได้
  3. แนวทางการใช้ยาแบบ Flare
    แนวทางนี้ส่วนมากจะใช้เฉพาะในผู้หญิงที่มีการตอบสนองต่อการกระตุ้นต่ำ หรือผู้หญิงที่อาจมีภาวะรังไข่ต่ำ (มีระดับ AMH ต่ำกว่า 0.5 หรือมี AFC ต่ำกว่า 5) แม้ว่าแนวทางนี้จะไม่ใช้ Lupron เพื่อป้องกันภาวะ OHSS แต่เนื่องจากผู้ป่วยส่วนมากมักตอบสนองต่อโกนาโดโทรปินต่ำ โอกาสเกิดภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินจึงค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว

การเปรียบเทียบแนวทางการใช้ยา

Long Agonist Antagonist Flare

อัตราความสำเร็จ

เท่ากัน

เท่ากัน

เท่ากัน

ความเสี่ยงต่อ OHSS

สูงสุด

ต่ำสุด

ไม่ค่อยใช้ในผู้ป่วยทั่วไป จึงมักไม่นำมาเปรียบเทียบ

ระยะเวลา

ยาวที่สุด

สั้นที่สุด

ปานกลาง

ผู้ป่วยที่ควรใช้

เคยมีการตกไข่ที่ยังไม่เจริญ

มีภาวะ PCOS

มีระดับ AMH และ AFC สูง

เคยมีการสร้างไข่จำนวนมาก

ชาวแอฟริกัน-อเมริกัน

ผู้มีการตอบสนองต่ำ

ใช้แนวทางอื่นแล้วไม่ได้ผล

การใช้ตัวยาเสริมในการรักษา

มียาหลายชนิดที่แพทย์อาจให้เพิ่มเติมในช่วงเริ่มต้นการทำ IVF เพื่อเพิ่มโอกาสความสำเร็จ เช่น

  1. การใช้เทสโทสเทอโรน (Testosterone)
    แพทย์บางคนเชื่อว่าก่อนการให้โกนาโดโทรปิน หากผู้หญิงได้รับฮอร์โมนกลุ่มแอนโดรเจน เช่น เทสโทสเทอโรน (มักใช้ในรูปแบบแผ่นแปะหรือเจลทา) จะช่วยให้ฟอลลิเคิลตอบสนองต่อโกนาโดโทรปินได้ดีขึ้น
  2. การใช้โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone)
    มีการศึกษาค่อนข้างชัดเจนเรื่องการใช้โกรทฮอร์โมนในผู้ป่วยที่มีการตอบสนองต่ำก่อนการให้โกนาโดโทรปิน การวิเคราะห์จาก 6 งานวิจัยในกลุ่มตัวอย่างเล็กๆ พบว่าอัตราการคลอดทารกที่มีชีวิตรอดเพิ่มขึ้น

26 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
In vitro fertilization (IVF). MedlinePlus. (https://medlineplus.gov/ency/article/007279.htm)
In Vitro Fertilization (IVF): Risks, Success Rate, Procedure, Results. WebMD. (https://www.webmd.com/infertility-and-reproduction/guide/in-vitro-fertilization#1)
Mayo Clinic Staff. (2018). In vitro fertilization (IVF). (https://www.mayoclinic.org/tests-procedures/in-vitro-fertilization/about/pac-20384716)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)