เมื่อพูดถึง “เหนียง” หลายคนต้องไม่ปลื้มเจ้าส่วนเกินบริเวณลำคอส่วนนี้แน่นอน เพราะจะทำให้ใบหน้าดูอ้วน ไม่เรียวสวยตามที่ต้องการ เหนียงยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลายคนเกิดความไม่มั่นใจ ทำให้เวลาถ่ายรูป ต้องปรับมุมใบหน้านานขึ้นเพื่อปกปิดไม่ให้เห็นเหนียง
วิธีกำจัดเหนียงมีอยู่หลายวิธี ทั้งวิธีทางธรรมชาติและการทำศัลยกรรมความงามซึ่งมีอยู่หลากหลาย
ศัลยกรรมใบหน้า วันนี้ ที่คลินิกใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 6,879 บาท ลดสูงสุด 78%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
รวมวิธีลดเหนียง
วิธีที่สามารถลดเหนียงและทำให้ผิวบริเวณใต้คางตึงกระชับแบ่งออกได้ 2 วิธี คือ วิธีลดเหนียงด้วยตนเอง และวิธีลดเหนียงด้วยการแพทย์และศัลยกรรม
วิธีลดเหนียงด้วยตนเอง
1. การลดน้ำหนัก
การลดน้ำหนักผ่านการควบคุมอาหารและออกกำลังอย่างน้อยครั้งละ 30 นาที เป็นประจำจะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินในร่างกายให้หายไป และทำให้ร่างกายกระชับมากขึ้น รวมไปถึงส่วนบริเวณใบหน้าด้วย
หลายคนจะสังเกตว่า นอกจากขนาดตัวของผู้ที่ลดน้ำหนักจะเล็กลงแล้ว บางคนนั้นก็มีใบหน้าเรียวลงตามไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นส่วนเกินบริเวณลำคอที่เรียกกันว่า เหนียง ก็จะตึงกระชับมากขึ้น
การควบคุมอาหารและออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักถือเป็นวิธีการลดเหนียงที่ให้ผลลัพธ์ยืนยาวที่สุด เมื่อเทียบกับวิธีเสริมความงามอื่นๆ เพราะเป็นการยกกระชับส่วนเกินของร่างกายด้วยการเผาผลาญไขมันของร่างกายเอง ทั้งยังทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นด้วย
เริ่มต้นลดน้ำหนักตั้งแต่วันนี้ไม่ว่าจะลดด้วยตนเอง หรือสมัครคอร์สลดน้ำหนักเฉพาะบุคคล ก็ถือเป็นเรื่องดีทั้งนั้น เพื่อผลลัพธ์ที่ดีในวันหน้า
ข้อควรระวังในการลดเหนียงด้วยการลดน้ำหนัก
สำหรับการลดเหนียงด้วยการลดน้ำหนัก สิ่งที่จะต้องระวังคือ การไม่หักโหมออกกำลังกายหนักเกินไป หรืออดอาหารอย่างหนัก เพราะอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย และได้รับบาดเจ็บได้
ทำ Thermage วันนี้ ที่คลินิกใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 970 บาท ลดสูงสุด 90%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
อีกทั้งต้องเข้าใจว่า การเผาผลาญไขมันในร่างกายออกไปจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการออกกำลังแต่ครั้งที่มากพอ เช่น อย่างน้อย 30 นาที และความสม่ำเสมอในการออกกำลังกาย
ดังนั้นการลดเหนียงด้วยวิธีนี้จึงต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่อย่างน้อยวิธีนี้ก็มีข้อดีคือ ร่างกายจะแข็งแรงขึ้นและไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินเติมสารเคมีใดๆ เข้าใบหน้าเพิ่ม
สำหรับผู้ที่ลดน้ำหนักด้วยวิธีการรับประทานยาลดน้ำหนัก แม้ว่าวิธีนี้อาจช่วยให้ใบหน้าและร่างกายผอมเพรียวเร็วกว่าวิธีออกกำลังกาย แต่ก็แลกมาด้วยฤทธิ์ยาซึ่งมักส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างรุนแรง เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ เกลือแร่ในร่างกายเสียสมดุล อาการคาดว่า อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
2. ท่าบริหารบริเวณต้นคอ และคาง
เป็นอีกวิธีลดเหนียงที่สามารถทำได้ตนเอง ออกได้ 3 ท่าได้แก่
- ท่าบริหารศีรษะ
เริ่มจากหันศีรษะไปทางซ้ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยให้ทำอย่างช้าๆ และนุ่มนวล จากนั้นค่อยๆ หันศีรษะกลับมามองหน้าตรงอีกครั้ง แล้วหันไปศีรษะไปทางขวาอย่างช้าๆ เช่นเดิม
ทำแบบนี้ประมาณ 10 ครั้ง (ทำครบทั้งซ้าย และขวาจึงจะนับเป็น 1 ครั้ง) ทำอย่างน้อยวันละ 3 เซ็ต จะช่วยให้กล้ามเนื้อ และผิวหนังบริเวณต้นคอ รวมถึงใต้คาง ตึงแข็งแรง - ท่าหันเอียงคอไปด้านข้าง
เริ่มจากยืนตรง ศีรษะหันตรงไปด้านหน้า แล้วค่อยๆ เอียงศีรษะไปด้านซ้ายโดยที่ใบหน้ายังมองตรงไปด้านหน้าอยู่ จากนั้นเอียงศีรษะกลับมาตั้งตรงมองด้านหน้าเช่นเดิม แล้วเอียงไปทางขวาในลักษณะเดียวกัน พยายามอย่าเอียงไปจนใบหูชนถึงไหล่ เพราะนั่นแสดงว่า คุณเอียงคอตึงมากเกินไป
ลองทำท่าหันเอียงคอประมาณ 5-10 ครั้ง (ทำครบทั้งซ้าย และขวาจึงจะนับเป็น 1 ครั้ง) ทำอย่างน้อยวันละ 3 เซ็ต จะช่วยให้เหนียงใต้ลำคอตึงกระชับขึ้น - ท่าหันเอียงคอไปข้างหน้า และข้างหลัง
เป็นท่าสำหรับป้องกันการเกิดคางสองชั้น รวมถึงเหนียงบริเวณใต้กรามทั้ง 2 ด้านด้วย โดยเริ่มจากยืนตัวตรง ศีรษะตั้งตรงมองไปข้างหน้า เท้าสองข้างวางห่างกันเท่าไหล่
จากนั้นเอนศีรษะไปด้านบน ตามองเพดาน ลิ้นกดเกร็งขึ้นไปที่เพดานปาก แล้วก้มศีรษะกลับมาหน้าตรงเช่นเดิม จากนั้นโน้มศีรษะไปด้านหน้า ให้คางกดลงกับส่วนอก ค้างไว้ประมาณ 15-30 วินาที แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองตรงเช่นเดิม
ลองทำท่านี้ประมาณ 5-10 รอบต่อครั้ง (ทำครบทั้งซ้าย และขวาจึงจะนับเป็น 1 ครั้ง) ทำอย่างน้อยวันละ 3 เซ็ต จะลดโอกาสการเกิดคางสองชั้น และเหนียงบริเวณกรามได้
วิธีลดเหนียงด้วยการแพทย์ และศัลยกรรม
1. การฉีดโบท็อกซ์ (Botox)
การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เป็นการเสริมความงามโดยการฉีดสารโปรตีนซึ่งสร้างจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ “คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum)” เพื่อช่วยยกกระชับผิวหนังให้เต่งตึง ไม่หย่อนคล้อย
อย่างไรก็ตาม การฉีดโบท็อกซ์จะยังไม่ได้เห็นผลชัดทันทีที่ฉีดเข้าไป แต่ต้องรอประมาณ 1-2 สัปดาห์ จึงจะเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนั่นคือ กรอบใบหน้าเริ่มชัดขึ้น เหนียงใต้คางเริ่มกระชับกว่าเดิม
ทำ Thermage วันนี้ ที่คลินิกใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 970 บาท ลดสูงสุด 90%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ส่วนข้อด้อยของการฉีดโบท็อกซ์คือ สารโบท็อกซ์จะออกฤทธิ์อยู่ได้ประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้นหากผู้ใช้บริการต้องการยกกระชับผิวหนังให้กลับมาเต่งตึงอีกครั้ง ก็ต้องมาใช้บริการฉีดโบท็อกซ์อีกเรื่อยๆ เพื่อยกกระชับผิวหนังให้กลับมาเต่งตึงอีก
การฉีดโบท็อกซ์จะต้องฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อจะได้รักษาปัญหาผิวหน้าได้อย่างตรงจุด
และการฉีดโบท็อกซ์จะต้องอาศัยการคำนวณปริมาณโบท็อกซ์ที่เหมาะสม ตำแหน่งการฉีดที่ถูกต้องไม่ไปกระทบกับเส้นประสาทสำคัญๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติตามมาได้
นอกจากนี้ยังต้องระวังสารโบท็อกซ์ปลอม หรือสารโบท็อกซ์จากผู้ผลิตที่ไม่ได้มาตรฐานที่สามารถเข้าไปทำปฏิกิริยาภายในผิวหนังทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงได้
นอกจากนี้ผู้เข้ารับบริการฉีดโบท็อกซ์บางรายยังอาจพบกับผลข้างเคียงหลังการฉีดโบท็อกซ์ดังนี้
- อ่อนเพลีย
- ผิวหนังบวมรอบๆ บริเวณที่ฉีด
- ปวดศีรษะ
- เห็นภาพซ้อน
- ตาแห้ง
2. การฉีดเมโสแฟต (Meso Fat)
การฉีดเมโสแฟตเป็นการฉีดสารวิตามิน สารเอนไซม์ หรือสารฮอร์โมนเพื่อเข้าไปสลายไขมันบริเวณจุดต่างๆ ของร่างกาย แต่ส่วนที่นิยมฉีดมากที่สุดคือ บริเวณเหนียง
ระยะเวลาการเห็นผลจากการฉีดเมโสแฟตจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังจากฉีด และสารจะออกฤทธิ์อยู่ได้ประมาณ 2-6 เดือน หลังจากนั้นหากผู้เข้ารับบริการต้องการจะฉีดสารเมโสแฟตเพื่อสลายไขมันอีก ก็สามารถมาเข้ารับการฉีดกับแพทย์ได้อีกตามความเหมาะสม
นอกจากฉีดเพื่อลดเหนียงแล้ว การฉีดเมโสแฟตยังมีจุดเด่นด้านการลดรอยเซลลูไลท์ และริ้วรอยเหี่ยวย่นบริเวณใบหน้าด้วย แต่ทั้งนี้หากต้องการให้ผลลัพธ์การฉีดเมโสแฟตออกมาชัดเจนที่สุด คุณควรควบคุมอาหาร และออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันควบคู่กันไปกับการฉีดสารนี้
3. การร้อยไหม (Thread Lifting)
เป็นอีกเทคนิคยอดนิยมที่หลายคนเลือกใช้เพื่อยกกระชับใบหน้าที่หย่อนคล้อย มีไขมันส่วนเกิน ผ่านการใช้เส้นไหมร้อยบริเวณใต้ผิวผิวหนัง เพื่อกระตุ้นให้ผิวหน้าสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ มีการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ทำให้ผิวหน้าแต่งตึง ดูเรียวไม่หย่อนตามไขมันส่วนเกิน รวมถึงส่วนเหนียงด้วย
หลังจากผ่านไปประมาณ 2 เดือนหลังจากร้อยไหม ใบหน้าจะกระชับมากขึ้น และจะอยู่ได้ประมาณ 2 ปี จากนั้นไหมจะค่อยๆ สลายหายไปภายในเวลาประมาณ 8 เดือน
จุดด้อยของการร้อยไหมอาจอยู่ที่อายุ และลักษณะใบหน้าของผู้เข้ารับบริการ ที่หากใบหน้าไม่ได้หย่อนคล้อย หรือมีเหนียงบริเวณใบหน้าชัดเจน ก็จะไม่เห็นผลของการปรับรูปใบหน้าด้วยวิธีร้อยไหมมากนัก
การร้อยไหมเหมาะสำหรับกลุ่มผู้ใช้บริการอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยชัดเจน หรือมีไขมันส่วนเกินบนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากร้อยไหม ผู้เข้ารับบริการไม่ควรทำเลเซอร์ใดๆ บริเวณใบหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ และไม่ควรจับ หรือนวดหน้าบริเวณที่ร้อยไหมประมาณ 2 เดือน
นอกจากนี้ยังอาจพบอาการผิวบวม มีรอยแดง หรือตุ่มแดงบริเวณที่ร้อยไหมได้ ซึ่งอาการนี้เป็นอาการแพ้ไหมละลาย เสี่ยงที่จะติดเชื้อใต้ผิวหนังได้ และควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรักษาอาการติดเชื้อ และป้องกันไม่ให้การติดเชื้อลุกลามมากไปกว่าเดิม
4. ทำเทอร์มาจ (Thermarge)
การทำเทอร์มาจ เป็นการใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุยิงเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังยกกระชับ ไขมันส่วนเกินบริเวณใบหน้าเต่งตึงเข้ารูปขึ้นกว่าเดิม เช่น แก้ม เหนียง
การทำเทอร์มาจเป็นวิธีการลดเหนียงที่มีจุดเด่นคือ ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ ระคายเคือง หรือแสบผิวใดๆ ไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ ทั้งยังช่วยยกกระชับส่วนอื่นๆ ของใบหน้านอกจากบริเวณส่วนเกินด้วย เช่น รอบๆ ดวงตา หน้าผาก หรือจะทำบริเวณส่วนอื่นๆ ของร่างกายก็ได้
ผลข้างเคียงหลังจากทำเทอร์มาจอาจทำให้ผิวหนังไหม้ หากใช้คลื่นความถี่แรงเกินไป รวมถึงทำให้เกิดอาการผิวหนังบวมแดง มีอาการชาบริเวณที่ยิงพลังงาน
5. ทำไฮฟู่ (HIFU facial)
การทำไฮฟู่คือ การใช้คลื่นอัลตราซาวด์ยิงเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังเพื่อทำลายเนื้อเยื่อชั้นระดับลึก ทำให้ชั้นผิวหนังดังกล่าวหดตัว และมีการสร้างคอลลาเจนใหม่เพิ่มขึ้นมาใหม่ จึงทำให้ผิวหน้ากระชับกว่าเดิม เหนียงใต้คางไม่หย่อนยานจนเห็นชัด ทั้งยังลดคางสองชั้น และริ้วรอยแห่งวัยได้
จุดเด่นในการทำไฮฟู่จะคล้ายกับการทำเทอร์มาจคือ ไม่ทำให้รู้สึกระคายเคือง หรือแสบร้อน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานที่ยิงเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังด้วย ซึ่งหากต้องใช้พลังงานสูง แพทย์จะมีการให้ยาชาเพื่อลดอาการแสบร้อนระหว่างทำ
หลังจากทำไฮฟู่แล้ว ผู้เข้ารับบริการอาจมีอาการผิวหนังบวม มีรอยช้ำ หรือผื่นแดงขึ้นบริเวณที่ฉีดได้ แต่โดยปกติอาการเหล่านี้จะดีขึ้นภายในเวลาไม่กี่วัน ส่วนการใช้ชีวิตประจำวัน เมื่อทำไฮฟู่เสร็จ ผู้เข้าบริการสามารถใช้ชีวิตปกติได้โดยไม่ต้องมีการพักฟื้นใดๆ
ข้อควรระวังในการลดน้ำหนักด้วยการแพทย์ และศัลยกรรม
ข้อควรระวังในรับบริการเสริมความงามเพื่อลดเหนียงอย่างการฉีดโบท็อกซ์ การทำไฮฟู่ การฉีดเมโสแฟต การทำเทอร์มาจ ได้แก่
- ควรรับบริการผ่านแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงคลินิก และโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานเท่านั้น เพื่อความแม่นยำในการรักษาไขมันส่วนเกินได้ตรงจุด ถูกสุขอนามัย และยังใช้สารที่ปลอดภัย มีเครื่องยิงคลื่นความถี่ และอัลตราซาวด์ที่ได้มาตรฐาน
- ไตร่ตรองเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายกับบริการที่ได้รับให้ดีว่า ควรลดเหนียงด้วยวิธีไหนจึงจะเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด คุณควรปรึกษาวิธีลดเหนียงกับแพทย์อย่างละเอียดก่อนลงมือทำ เพื่อให้คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป และได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการที่สุด
- ดูแลตนเองให้เหมาะสมหลังเข้ารับบริการแล้ว โดยวิธีการลดเหนียงแต่ละแบบก็จะมีวิธีดูแลตนเองหลังทำแตกต่างกันไป แต่โดยหลักๆ จะไม่ให้ออกกำลังกายหนักๆ ในช่วงแรก งดสูบบุหรี่ และบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1-2 สัปดาห์ ไม่ออกไปในที่แดดจ้าประมาณ 1 สัปดาห์ ไม่นวด หรือถูใบหน้าแรงๆ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะลดเหนียงด้วยวิธีการฉีดสาร หรือยิงพลังงานใดๆ เข้าไปใต้ผิวหนัง สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ไขมันส่วนเกินบนใบหน้าหายออกไปได้อย่างยั่งยืน และยังประหยัดเงิน ก็คือ
- การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่รับประทานอาหารที่มีน้ำตาล หรือไขมันสูงมากเกินไป และเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหาร รวมถึงวิตามินบำรุงผิวหนังเพียงพอ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ปริมาณไขมันในร่างกายอยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
หากทำกิจกรรม 2 อย่างนี้ควบคู่กันไปกับการรับบริการเสริมความงามอื่นๆ ก็จะยิ่งช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับใบหน้าของคุณมากขึ้น
หรือไม่แน่ว่า คุณอาจไม่ต้องไปฉีดสาร หรือยิงพลังงานใดๆ เข้าผิวหนัง เพียงแค่รับประทานอาหารที่มีประโยชน์กับออกกำลังกาย เพียงเท่านี้เหนียงใต้คางของคุณก็จะมีโอกาสกระชับตัวขึ้น และหายไปเองก็ได้
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจทำ Thermage จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android