เด็กเล็กยังพูดสื่อสารกับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้เลี้ยงดูไม่ได้ ดังนั้นจึงใช้การร้องไห้เพื่อเป็นวิธีการบอกถึงต้องการหรือขอความช่วยเหลือ
โดยเฉพาะในวัยทารกจะใช้การร้องไห้เป็นการสื่อสารทั้งหมดที่อยากให้คุณพ่อคุณแม่รับรู้ เช่น เวลาหิว ผ้าอ้อมเปียก หรือไม่สบายตัว
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เสียงร้องไห้ของลูกอาจทำให้เกิดความกังวลใจ และไม่รู้จะจัดการกับการร้องไห้ของลูกอย่างไร สุดท้ายเกิดความเครียด วิตกกังวล และไม่มั่นใจในการดูแลลูกได้
การร้องไห้แบบไหนที่ถือว่าปกติ?
ทารกเมื่อคลอดออกมาจะค่อยๆ ปรับตัวกับสิ่งแวดล้อม และเริ่มร้องไห้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออายุ 6 สัปดาห์
ในทารกที่สุขภาพแข็งแรงจะร้องไห้ได้สูงสุดถึง 3 ชั่วโมงต่อวัน จากนั้นจะค่อยๆ ลดลงจนเหลือวันละ 1 ชั่วโมงต่อวัน และน้อยที่สุดหลังอายุ 3 เดือน
บางครั้งทารกจะร้องตอบสนองต่อเสียงร้องของทารกหรือเด็กคนอื่นๆ ซึ่งนั่นอาจหมายถึงสัญญาที่แสดงถึงความเข้าใจและใส่ใจในความรู้สึกของบุคคลอื่น
อย่างไรก็ตาม ประมาณ 20% ของทารกที่อายุ 2 เดือน จะพบการร้องไห้เยอะ และอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวลได้ ถึงแม้ว่าการร้องไห้นั้นจะเป็นภาวะพัฒนาการปกติ
แบบไหนถึงเรียกว่าเด็กร้องไห้เยอะเกินไป?
การร้องไห้ที่เยอะเกินไปในเด็ก หมายถึง การร้องไห้นานเกิน 3 ชั่วโมงต่อวัน มากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ และนานเกิน 1 เดือน หรือพบร่วมกับความผิดปกติอื่นๆ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
คุณพ่อคุณแม่จึงควรเข้าใจและตอบสนองต่อการร้องไห้ของลูกอย่างถูกต้อง
สาเหตุที่ทำให้ลูกร้องไห้?
เมื่อลูกร้องไห้ คุณพ่อคุณแม่ควรหาสาเหตุว่าเพราะอะไร ตัวอย่างเช่น
1. ร้องไห้เพราะหิวนม
สาเหตุของการร้องไห้บ่อยที่พบมากที่สุดอย่างหนึ่งคือลูกหิวนม เนื่องจากทารกมีกระเพาะอาหารขนาดเล็ก หลังจากกินนมได้ประมาณ 2 ถึง 3 ชั่วโมง ทารกจะเริ่มหิวใหม่ และจะใช้การร้องเพื่อเป็นการสื่อสารบอกความต้องการของตนเอง
ดังนั้นเมื่อทารกน้อยร้องไห้ร่วมกับถึงช่วงเวลาที่ต้องกินนม คุณพ่อคุณแม่ลองให้นมแก่ลูก อาการร้องไห้จะหยุดไปได้
2. ร้องไห้เพราะง่วงนอน
หากลูกมีท่าทีกระฉับกระเฉงลดลง ตาปรือ ไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบตัว หาวบ่อยๆ ขยี้ตา สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณบอกว่าลูกกำลังง่วงนอน หากลูกร้องไห้งอแงตอนง่วงนอน คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกนอนพักทันที
3. ร้องไห้เพราะผ้าอ้อมเปียกชื้น
หากผ้าอ้อมลูกเปียกชื้นจากปัสสาวะหรืออุจจาระ ทารกจะรู้สึกไม่สบายตัว จึงใช้การร้องไห้เพื่อบอกให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ เพราะฉะนั้นเมื่อลูกร้องไห้ อย่าลืมตรวจดูผ้าอ้อมทุกครั้ง
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
4. ร้องไห้เพราะอากาศร้อนไปหรือหนาวไป
การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ทำให้ทารกรู้สึกไม่สบายตัว หากในห้องเปิดแอร์เย็นเกินไปหรือใส่เสื้อผ้าที่ทำให้ร้อนอบอ้าว ลูกจะรู้สึกไม่สุขสบายตัวได้ ควรหาเสื้อผ้าใส่ที่เหมาะสมต่อสภาพอากาศในแต่ละวันเพื่อให้ลูกผ่อนคลายและสบายตัว
5. ร้องไห้เพราะเบื่อ อยากให้อุ้ม
เด็กบางคนร้องไห้เพื่ออยากให้คุณพ่อคุณแม่อุ้มโอบกอด สัมผัสตัว และให้รู้สึกอุ่นใจ
6. ร้องไห้เพราะเจ็บป่วย ไม่สบาย
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เด็กร้องไห้ คือความเจ็บป่วย เช่น เด็กอาจจะเจ็บ มีแผล ไข้ขึ้น ท้องอืด เด็กไม่รู้จะสื่อสารด้วยวิธีไหนที่จะบอกความเจ็บปวด จึงใช้วิธีการร้องไห้ออกมา บางครั้งหากอาการเจ็บรุนแรงหรือคุณพ่อคุณแม่ตอบสนองไม่ถูกต้อง เด็กจะแผดเสียงร้องและอาจร้องไห้ได้นาน
ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่ไม่แน่ใจถึงการร้องไห้ของลูก แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กร่างกาย
7. ร้องไห้เพราะถูกกระตุ้นมากเกินไป
หากลูกอยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งกระตุ้นมากเกินไป เช่น อยู่ในที่ที่มีคนเยอะ ๆ ห้องเสียง ๆ หรือมีกลิ่นหอมในห้องเกินไป อาจทำให้ทารกไม่สุขสบาย การพาลูกออกจากสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นจะทำให้อาการร้องไห้ดีขึ้น
วิธีจัดการ รับมือ เมื่อลูกร้องไห้ โดยไม่ต้องตี
เมื่อลูกร้อง คุณพ่อคุณแม่ควรรับมือด้วยแนวทางต่อไปนี้
- ควบคุมอารมณ์ตัวเอง ไม่ให้กังวลจนเกินไป ค่อยๆ จัดการกับการร้องไห้ของลูก หากเหนื่อยล้าหรือกังวลใจมาก คุณพ่อคุณแม่ควรพักและหาผู้ช่วยคนอื่นๆ ช่วยดูแลลูก หรือพูดคุยกับคนใกล้ตัวเพื่อผ่อนคลายอารมณ์
- ใช้ผ้าห่อตัวลูก โดยเลือกใช้ผ้าผืนใหญ่ บางๆ ห่อตัวเพื่อช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัย
- กอดและอุ้มลูก โดยเลือกอุ้มท่าที่ลูกสบาย รู้สึกอบอุ่น เช่น อุ้มเอาหน้าท้องและขาของลูกมาใกล้กัน ถ้าลูกนอนหลับ ให้พาลูกลงนอนที่เตียงและจัดสถานที่ให้รู้สึกอบอุ่นปลอดภัย
- เปิดเพลงบรรเลงเบาๆ เช่น เลือกใช้เสียงไวท์นอยซ์ (White noise) ซึ่งเป็นเสียงที่ราบเรียบ มีความถี่สม่ำเสมอ คล้ายกับเสียงของพัดลม เครื่องซักผ้า ไดร์เป่าผม
เนื่องจากขณะที่เด็กอยู่ในท้องจะได้ยินเสียงหัวใจของแม่มานาน เสียงไวท์นอยซ์เป็นเสียงที่พยายามเลียนแบบให้เด็กรู้สึกคุ้นเคยกับบรรยากาศเดิม อาจทำให้เด็กหยุดร้องไห้และเคลิ้มหลับได้ - หลีกเลี่ยงการให้ลูกกินนมมากเกินไป พยายามให้ลูกกินนมอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมงขึ้นไปเพื่อหลีกเลี่ยงอาการท้องอืดแน่นท้อง
- อาจเลือกใช้จุกหลอก (Pacifiers) เพื่อบรรเทาอาการร้องไห้ของลูก โดยควรเลือกใช้จุกหลอกที่ได้มาตรฐานและระวังเรื่องความสะอาดเป็นสำคัญ
- คุณพ่อคุณแม่อาจทำบันทึกกิจวัตรประจำตัวของลูกน้อย เช่น เรื่องการกินนม ช่วงเวลาและความถี่ของการขับถ่าย ช่วงเวลาตื่นนอนและหลับ และช่วงเวลาร้องไห้ เพื่อดูความผิดปกติและความสัมพันธ์ของกิจกรรมต่างๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของการร้องไห้ ทั้งนี้สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปพูดคุยกับแพทย์เพื่อใช้ในการวินิจฉัยและตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติมได้ด้วย
- หลีกเลี่ยงเสียงดังหรือแสงสว่างที่มากเกินไปซึ่งสามารถรบกวนและทำให้ลูกน้อยไม่สุขสบายได้ จัดสถานที่ที่สงบและผ่อนคลายทดแทน
ลูกร้องไห้แบบไหน ที่คุณพ่อคุณแม่ควรพาไปพบแพทย์
หากลูกร้องไห้เยอะ ร่วมกับมีอาการต่อไปนี้ ควรพาลูกไปพบแพทย์
- ไม่สามารถทำให้ลูกหยุดร้องไห้ได้เป็นระยะเวลา 2 ชั่วโมงขึ้นไป
- มีไข้หรือวัดอุณหภูมิร่างกายมากกว่าหรือเท่ากับ 38 องศาเซลเซียส
- ไม่ยอมกินนมหรือน้ำ หรือมีอาการอาเจียนร่วมด้วย
- ปัสสาวะออกน้อย ถ่ายอุจจาะมีเลือดปน
- คุณพ่อคุณแม่รู้สึกกังวลมาก ไม่รู้จะจัดการอย่างไร
ดูแพ็กเกจปรึกษาแพทย์ผ่านวีดีโอคอล เปรียบเทียบราคา โปรโมชันล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android