เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าวิตามิน D เป็นสารอาหารที่สำคัญ ช่วยบำรุงกระดูก และร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามิน D เองได้จากแสงแดด แต่รู้หรือไม่ว่า วิตามิน D จัดเป็นวิตามินที่คนไทยขาดกันมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้อาศัยในเขตเมือง เนื่องจากพฤติกรรมการหลบเลี่ยงแสงแดดของเรานั่นเอง
วิตามิน D สำคัญอย่างไร?
หน้าที่หลักของวิตามิน D คือช่วยในการดูดซึมแคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกอ่อน (Rickets) โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) และภาวะกระดูกบาง (Osteopenia) นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมกระบวนการต่างๆ ในร่างกาย เช่น เพิ่มการหลั่งอินซูลินเพื่อช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดและป้องกันโรคเบาหวานประเภทที่ 2 และช่วยลดฮอร์โมนพาราไทรอยด์เพื่อป้องกันการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูก
มีบทความวิจัยในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้รายงานว่า วิตามิน D มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคหอบหืด และโรคมะเร็งบางชนิด นอกจากนี้วิตามิน D ยังมีหน้าที่ในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยให้สมองหลั่งสารเซโรโทนิน (Serotonin) มากขึ้น มีผลช่วยลดความเครียดและภาวะซึมเศร้า ส่วนในด้านผิวพรรณ วิตามิน D ก็ช่วยด้านการแบ่งและพัฒนาเซลล์เพื่อไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ และช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของผิว ทำให้ผิวไม่แก่ก่อนวัย
จะหาวิตามิน D เพิ่มจากไหน?
วิตามิน D มีความสำคัญอย่างมากดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น แต่แหล่งของวิตามิน D ตามธรรมชาติกลับมีไม่มากนัก วิตามิน D สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ วิตามิน D2 และวิตามิน D3 ซึ่งทั้งสองชนิดนี้มีประโยชน์และมีบทบาทต่อร่างกายพอๆ กัน โดยร่างกายของเราสามารถสังเคราะห์วิตามิน D3 ได้เองโดยใช้รังสียูวีบีแสงในแสงแดดเป็นตัวกระตุ้น แต่อย่างที่ทราบกันว่ารังสียูวีในแสงแดดมีมีฤทธิ์ทำร้ายผิวเราและเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย จึงทำให้เราจำเป็นต้องรับวิตามิน D2 หรือวิตามิน D3 เพิ่มเติมจากการรับประทานอาหาร ซึ่งแหล่งของอาหารที่มีวิตามิน D3 สูง ได้แก่ ปลาที่มีไขมันสูง เช่น แซลมอน ทูน่า ซาร์ดีน รวมถึงน้ำมันปลา และแหล่งของอาหารที่มีวิตามิน D2 สูง ได้แก่ เห็ดต่างๆ
อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารเพื่อให้ได้รับวิตามินในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย บางครั้งเราอาจต้องรับประทานในปริมาณมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลเสียอย่างอื่นตามมา เช่น กินปลาทอดเยอะๆ เพราะหวังว่าจะได้วิตามิน D3 จากปลา แต่ก็มีโอกาสได้รับไขมันจากน้ำมันที่ใช้ทอดปลาในปริมาณสูงเช่นกัน
การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยเสริมหรือเพิ่มปริมาณสารอาหารได้โดยที่ไม่ต้องรับประทานอาหารในปริมาณที่มากเกินไป เช่น รับประทานวิตามิน D2 หรือวิตามิน D3 เพิ่มเติมเพื่อป้องกันภาวะขาดวิตามิน D แต่มีข้อพึงระวังคือการมีวิตามิน D สะสมในร่างกายมากเกินไปก็เกิดโทษกับร่างกายได้เช่นกัน ดังนั้นการตรวจเลือดเพื่อวัดระดับวิตามิน D จึงมีความสำคัญมาก เพราะจะทำให้ทราบว่าเรามีปริมาณวิตามิน D มากน้อยแค่ไหน มีน้อยไปจนขาด หรือมีมากไปจนเกิน ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่ดีกับเราทั้งนั้น ซึ่งการทราบปริมาณวิตามิน D ที่แน่นอนจะทำให้เราสามารถวางแผนการปรับหรือควบคุมระดับให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมได้
แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ทำอยู่มาถูกทางแล้ว?
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกรับประทานอาหารหรือการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร วิธีที่จะวัดผลได้ชัดเจนที่สุดคือการเจาะเลือดเพื่อตรวจวัดระดับวิตามิน D นั่นเอง ซึ่งผู้ให้บริการทางการแพทย์หรือห้องปฏิบัติการส่วนใหญ่จะตรวจวิเคราะห์วิตามิน D ออกมาเป็นแบบผลรวม ไม่ได้รายงานผลแยกเป็นรายตัว แต่ที่ห้องปฏิบัติการเวชศาสตร์ชะลอวัยของ N Health สามารถตรวจวิเคราะห์และรายงานผลวิตามิน D2 และวิตามิน D3 แยกออกมาเป็นแต่ละตัวได้โดยใช้เทคนิคขั้นสูงที่เรียกว่า Liquid Chromatography Tandem Mass Spectrometry (LC-MS/MS) ซึ่งใช้ในการแยกสารแต่ละตัวออกจากกันก่อนแล้วค่อยตรวจวัดมวลของสารนั้นๆ อย่างจำเพาะ จึงทำให้ผลที่ได้มีความถูกต้องและแม่นยำสูง ซึ่งประโยชน์ของการทราบปริมาณวิตามิน D2 และวิตามิน D3 จะทำให้สามารถระบุแหล่งที่มาได้ว่ามาจากอาหารหรือวิตามิน D ชนิดไหน ซึ่งจะทำให้สามารถปรับเปลี่ยนหรือควบคุมได้อย่างเหมาะสม
ข้อมูลเพิ่มเติม
การตรวจวิตามิน D2 และวิตามิน D3 ของ N Health จะรวมอยู่ในแพ็กเกจตรวจ Micronutrient Profile + Vitamin D2/D3 ซึ่งเป็นการตรวจจากตัวอย่างเลือด โดยมีระยะเวลาการรอผลไม่เกิน 1 สัปดาห์ และรับผลเป็นเล่มรายงานที่มีคำอธิบายและภาพกราฟิกประกอบเพื่อช่วยให้สามารถทำความเข้าใจกับผลตรวจได้ง่าย
แพ็กเกจ Micronutrient Profile + Vitamin D2/D3 นี้มีรายการตรวจสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินและแร่ธาตุทั้งหมด 19 รายการ เหมาะสำหรับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพตามหลักเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging Medicine)
สุดท้ายนี้ ขอฝากไว้ว่าไม่ใช่แค่วิตามิน D หรือสารอาหารตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้นที่สำคัญ แต่การที่จะมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ได้ต้องเกิดจากการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ได้แก่ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลากหลาย ปริมาณพอเหมาะ พักผ่อนให้ได้คุณภาพอย่างเพียงพอ รวมถึงออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอด้วย