การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ COVID-19 ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและเศรษฐกิจไปทั่วโลก หลายประเทศมีการรับมือที่แตกต่างกัน หลายประเทศในยุโรปเลือกใช้วิธีให้เกิดภูมิคุ้มกันในชุมชนเพื่อป้องกันคนที่ยังไม่ป่วยด้วยวิธีที่เรียกว่า Herd Immunity
เข้าใจเรื่องภูมิคุ้มกันกันก่อน
ภูมิคุ้มกัน (Immunity) คือระบบการป้องกันตัวของร่างกายต่อสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือด สารเคมีจากเม็ดเลือด โปรตีนและเอนไซม์หลายชนิด
ร่างกายใช้ระบบการป้องกันนี้ต่อสู้กับเชื้อโรค โดยระบบภูมิคุ้มกันนี้แบ่งได้ออกเป็นสองกลุ่ม คือ
- ภูมิคุ้มกันตั้งแต่เกิด (Innate immunity) เป็นระบบที่ตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมโดยไม่เลือกชนิด ขอเพียงระบบนี้ตรวจจับได้ว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม จะเริ่มทำงานทันที ปฏิกิริยาจะรวดเร็วและเป็นด่านหน้าด่านแรกของการป้องกันตัวในร่างกาย
- ภูมิคุ้มกันที่มีการปรับตัว (Adaptive immunity) เป็นระบบที่ตอบสนองเฉพาะตัวสิ่งแปลกปลอมแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ร่างกายจะเรียนรู้ว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมจากระบบการส่งต่อข้อมูลจากระบบภูมิคุ้มกันตั้งแต่เกิด (Innate immunity) จะสร้างแอนติบอดีเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้น จึงต้องอาศัยเวลาที่นานกว่าระบบภูมิคุ้มกันแต่เกิด
ในกรณีร่างกายมีการสัมผัสเชื้อโรค หากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายยังเป็นปกติ ร่างกายจะใช้ระบบภูมิคุ้มกันทั้งสองเพื่อต่อต้านเชื้อโรค และจดจำเอาไว้เพื่อจะได้สร้างภูมิคุ้มกันเร็วขึ้น
แอนติบอดีและเซลล์ที่ทำหน้าที่จดจำจะยังอยู่ในร่างกายในระยะยาว ทำให้สามารถป้องกันการติดเชื้อซ้ำ หรือลดความรุนแรงในการติดเชื้อ และประเด็นสำคัญอันหนึ่งคือ สามารถลดภาวะพาหะและการแพร่กระจายเชื้อได้อีกด้วย
แนวคิด Herd immunity ที่อาจใช้เพื่อแก้ปัญหา COVID-19
แนวคิดหลักคือ สร้างภูมิคุ้มกันในคนหมู่มากเพื่อลดการติดเชื้อในคนที่ยังไม่เป็นโรค เพราะหากผู้ที่ติดเชื้อมีภูมิคุ้มกันแล้ว จะลดความสามารถในการแพร่กระจายให้กับคนรอบข้าง คนรอบข้างจะติดเชื้อน้อยลงหรือมีความรุนแรงน้อยลงทั้งๆ ที่ยังไม่ต้องมีภูมิคุ้มกันหรือเคยติดเชื้อเลย
Herd immunity เกิดได้จากวิธีใด?
Herd immunity โดยหลักการและสิ่งที่เกิดขึ้นชัดเจน คือ การสร้างภูมิคุ้มกันโดยการให้วัคซีนให้คนหมู่มาก จนคนหมู่มากมีภูมิคุ้มกันที่มากกว่าระดับความสามารถในการแพร่เชื้อในวงกว้าง
ดังนั้นเมื่อเกิดโรคระบาดหรือมีการติดเชื้อ ร่างกายคนที่มี Herd immunity จะสามารถกำจัดหรือควบคุมเชื้อโรคได้ดีในคนนั้น โอกาสที่เชื้อจะแพร่ออกไปสู่คนอื่นน้อยมาก คนรอบตัวของคนที่มี Herd immunity จึงลดโอกาสการติดเชื้อลงมาก เรียกว่า Cocooning effect
ข้อพิสูจน์เรื่อง Herd immunity ที่ชัดเจนใน 2 โรค ได้แก่
1. โรคโปลิโอ
มีการปูพรมหยอดวัคซีนไปทั่วโลก จนการติดเชื้อใหม่น้อยลง แม้แต่คนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนก็ติดเชื้อน้อยลง ตัวเลขการติดเชื้อรายใหม่ลดลงเรื่อยๆ จนโรคลดลงและหายไปในที่สุด
2. โรคปอดอักเสบ
การเพิ่มการฉีดวัคซีนปอดอักเสบ Conjugated pneumococcal vaccine ในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อฉีดถึงปริมาณมากพอ ประมาณ 60% ของผู้ที่เสี่ยงจะแพร่กระจายเชื้อ พบว่าผู้สูงวัยที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนมีตัวเลขการติดเชื้อรายใหม่และอัตราการเสียชีวิตจากโรคปอดอักเสบลดลงไปด้วย ไม่เพียงแค่ผู้ที่ฉีดวัคซีนเท่านั้น
Herd immunity จากภูมิคุ้มกันที่เกิดตามธรรมชาติจากการติดเชื้อ
การติดเชื้อตามธรรมชาติ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันและแอนติบอดีเช่นกัน ลักษณะการสร้างภูมิคุ้มกันไม่ได้ต่างจากการรับวัคซีน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาจะแตกต่างกัน เพราะชนิดหรือสายพันธุ์ของเชื้อโรคที่ติดเข้ามาในแต่ละคนไม่เหมือนกันเสียทีเดียว และปฏิกิริยารวมถึงสารเคมีที่สร้างก็ต่างกันตามปัจเจกบุคคล
ส่วนการรับวัคซีนจะได้เชื้อกระตุ้นแบบเดียวกันทั้งหมด ความแปรปรวนของการสร้างภูมิคุ้มกันจึงไม่มากนัก พอคาดเดาการตอบสนองได้
ดังนั้นการเกิด Herd immunity จากการติดเชื้อตามธรรมชาติ จะต้องใช้ระยะเวลาการเกิดภูมิคุ้มกันที่นานกว่า คนทั่วไปจึงจะมีภูมิคุ้มกันมากพอ และเกินระดับที่อัตราการติดเชื้อจะรุนแรงได้
นอกจากนี้ยังมีความปรวนแปรที่คาดเดาได้ยากว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจะเป็น Protective antibody ที่ช่วยกำจัดเชื้อได้หรือไม่ เพราะมีภูมิคุ้มกันบางอย่างที่ร่างกายสร้างขึ้นตอบสนองต่อการติดเชื้อ แต่ตัวมันเองกลับขาดสมบัติในการทำลายและป้องกัน เช่น ภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสเอชไอวี
ส่วนการเกิด Herd immunity จากการรับวัคซีนนั้นผ่านการทดสอบว่าแล้วว่า ภูมิคุ้มกันที่สร้างได้จะเป็นภูมิคุ้มกันที่เป็น Protective antibody
กรณีของ Herd immunity จากภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ที่เคยมีในอดีต
กรณีการระบาดของโรคในอดีตจนเกิด Herd immunity คือ โรคไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish flu) ที่ตอนแรกยังไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากไวรัสและอนามัยที่ไม่ดี
เมื่อการระบาดถึงระดับมากพอสมควร ผู้ที่ป่วยรุนแรงภูมิคุ้มกันไม่สามารถสู้ได้จะเสียชีวิต ส่วนคนที่แข็งแรงและภูมิคุ้มกันดีจะอยู่รอด
เมื่อมีการติดเชื้อต่อไป คนที่แข็งแรงจะไม่เป็นโรคและไม่แพร่กระจายโรค ผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อจึงอยู่รอดและไม่ติดเชื้อ โรคจึงลดลง
แต่กว่าจะเกิด Herd immunity จะต้องใช้เวลานานพอสมควร และอาจต้องคัดเลือกคนที่อ่อนแอให้หมดไปประมาณหนึ่งทีเดียว โดยทั่วไปจึงใช้ Herd immunity ในความหมายของการรับวัคซีนเป็นหลัก
การติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-19 นี้ มีการแพร่กระจายรวดเร็ว แต่ความรุนแรงของโรคไม่มาก แสดงว่าโอกาสเกิดภูมิคุ้มกันสูงมาก และคนที่เกิดภูมิจะอยู่รอดต่อไป
การเกิด Herd immunity จึงเกิดได้เร็วกว่าโรคที่รุนแรงและมีอัตราการตายสูง คงต้องติดตามเรื่องราวของ Herd immunity ต่อโรคนี้ต่อไปว่าจะได้ผลหรือไม่ หรือจะมีผลกระทบใดบ้าง