พิจารณาสถานการณ์ของพ่อแม่รายนี้:
ลูกชายของฉันมักจะคิดถึงเรื่องการตายและการเสียชีวิตตลอดเวลา เราได้ลองหลายวิธีในการทำให้เขาสบายใจขึ้นแต่มันก็ช่วยได้เพียงเล็กน้อย และไม่เคยแก้ปัญหาได้อย่างครบถ้วน ตอนนี้เขาอายุ 10 ปีและไม่สามารถหยุดคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อพ่อและแม่ของเขาเสียชีวิต และเมื่อเขาเริ่มคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็จะเริ่มร้องไห้ เขาชอบตั้งคำถามว่า “เราจะสามารถพิสูจน์ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีอยู่จริง ? เราจะสามารถรวมเอาทฤษฎีบิ๊กแบงเข้ากับการสร้างโลกของพระเจ้าได้อย่างไร ? แล้วถ้าไม่มีสวรรค์อยู่หลังความตาย ? ฉันจะเลิกคิดเรื่องพวกนี้ได้ยังไง ? ” เป็นต้น เรากำลังมองหาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ แต่เราจะสามารถช่วยอะไรเขาอีกได้บ้าง ?
ปัญหา
ส่วนหนึ่งของปัญหานั้นเกิดขึ้นจากความไวต่อสิ่งต่าง ๆ ของเด็กอัจฉริยะ พวกเขามักรู้สึกกับบางอย่างมากกว่าเด็กคนอื่น ๆ อีกส่วนหนึ่งก็คือจินตนาการที่เด็กอัจฉริยะส่วนใหญ่มักมีมากกว่าเด็กทั่วไป และอีกส่วนก็คือความสามารถในการหาเหตุผล เมื่อคุณรวมความไวต่อความรู้สึก, จินตนาการอันเหลือล้น และทักษะในการหาเหตุผลโดยไม่มีประสบการณ์และความเข้าใจโลกมารวมกัน คุณก็จะพบกับปัญหาที่ลูกของคุณกำลังเผชิญอยู่
วิธีการช่วยเหลือ
ลูกของคุณอาจจะไม่สามารถหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ และเนื่องจากความเชื่อในเรื่องของพระเจ้าและสวรรค์นั้นมาจากความเชื่อมากกว่าเหตุผล มันอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะรวมทั้ง 2 เรื่องเอาไว้ด้วยกัน คุณอาจจะลองพูดคุยกับเขาเพื่ออธิบายว่าความเชื่อคืออะไรและหมายถึงอะไร มันไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นความเชื่อทางศาสนา ตัวอย่างเช่น คุณอาจจะพูดเกี่ยวกับการเชื่อว่าสิ่งหนึ่งเป็นเรื่องจริงแม้ว่าคุณจะไม่เคยหรือไม่สามารถเห็นมันได้ นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากเชื่อว่ามีหลุมดำเกิดขึ้นภายในจักรวาลถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นมันก็ตาม พวกเขาเชื่อว่ามันมีอยู่เพราะมันมีสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกว่ามันมีตัวตนอยู่จริง
ในทางเดียวกัน มีหลายคนที่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงเนื่องจากพวกเขาเชื่อในสัญญาณที่บอกว่าพระองค์มีอยู่จริง หากลูกของคุณชื่นชอบวิทยาศาสตร์และ/หรือคณิตศาสตร์ ควรให้พวกเขารู้จักกับตัวเลข phi (ไม่ใช่ pi) มันเป็นตัวเลขที่น่าสนใจซึ่งปรากฏอยู่ในทุกที่ ทั้งศิลปะ เรขาคณิต คณิตศาสตร์ ชีวิต จักรวาล หรือแม้แต่ในเทววิทยา
สัญญาณนี้เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่ามีนักออกแบบที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังหรือไม่ ? การเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเลขนี้อาจทำให้ลูกของคุณได้ขบคิด แม้ว่าเขาอาจจะไม่ได้มองว่ามันเป็นสัญญาณที่แสดงว่าพระเจ้ามีอยู่จริงก็ตาม
คุณอาจจะลองดูว่าลูกของคุณสนใจหนังสือเรื่อง George’s Secret Key to the Universe หรือไม่ มันเป็นหนังสือเด็กที่เขียนโดย Stephen Hawking ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลที่ฉลาดที่สุดในโลกต่อจาก Einstein เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และสนใจเกี่ยวกับธรรมชาติของจักรวาล เช่น มันเกิดขึ้นได้อย่างไร เขายังเป็นผู้ที่เชื่อในทฤษฎีบิ๊กแบง และยังเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอีกด้วย เขาเป็นตัวอย่างหนึ่งที่อยากจะแนะนำให้คุณลองพูดคุยกับลูกของคุณ Henry F. Schaefer ได้เขียนตัวอย่างของมุมมองความคิดของ Hawking ไว้ในบทความของเขาที่ชื่อ Stephen Hawking, the Big Bang, and God
หวังว่าหลังจากนั้นลูกของคุณจะพบว่านักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลกก็ไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับการนำความเชื่อในพระเจ้ามารวมเข้ากับทฤษฎีบิ๊กแบง และพบว่าความเชื่อบางอย่างนั้นก็มาจากความเชื่อใจ ซึ่งหมายถึงความศรัทธา ลูกของคุณเชื่อว่าคุณจะดูแลเขา เขามีศรัทธาที่เชื่อว่าคุณจะทำมัน แม้ว่าเขาจะไม่มีหลักฐานก็ตาม ความศรัทธาของเขาจะเกิดขึ้นมาจากประสบการณ์ในอดีต แต่นั่นไม่ใช่ตัวชี้วัดทางวิทยาศาสตร์ที่จะบอกว่าคุณจะทำอย่างไรให้กับเขาต่อไป ตัวชี้วัดในเรื่องนั้นมาจากความเชื่อใจและความศรัทธา
หวังว่าลูกของคุณจะสามารถหาจุดที่เขาสบายใจระหว่างความคิดในเรื่องต่าง ๆ ด้วยความช่วยเหลือของผู้เชี่ยวชาญ มันเป็นเรื่องปกติที่เด็กอัจฉริยะจะต้องการความช่วยเหลือเมื่อมาถึงจุดใดจุหนึ่งของชีวิต