บริการคุมกำเนิดฟรีแบบห่วงอนามัย และแบบยาฝังคุมกำเนิดที่รัฐให้วัยรุ่นฟรี

เผยแพร่ครั้งแรก 30 พ.ย. 2017 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
บริการคุมกำเนิดฟรีแบบห่วงอนามัย และแบบยาฝังคุมกำเนิดที่รัฐให้วัยรุ่นฟรี

เมื่อเร็วนี้ รัฐบาลได้มี พ.ร.บ.การการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยเรียน หรือการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์สำหรับวัยรุ่น ที่นับวันก็ยิ่งมีจำนวนมากขึ้นทุกที ซึ่งปัญหาเหล่านี้เกิดจากการที่เด็กไม่มีความรู้ทางด้านเพศศึกษา และอยู่ในวัยที่กำลังอยากรู้อยากลอง และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา ก็เท่ากับหมดอนาคตสถานเดียว เพราะบางคนต้องลาออกจากโรงเรียน ยิ่งถ้าใครคิดไปทำแท้งเถื่อน ไม่ว่าจะด้วยตัวเอง หรือคลินิกที่ผิดกฎหมาย ก็มีโอกาสติดโรคร้าย ติดเชื้อ หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้ ถึงแม้ว่าวัยรุ่นบางคนจะพยายามแก้ปัญหาด้วยการทานยาคุมแล้ว แต่ก็ยังทานไม่ถูกวิธี ก็มีโอกาสตั้งครรภ์ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องพึ่งพาวิธีการคุมกำเนิดที่ดีและมีประสิทธิภาพ เพื่อลดปัญหานี้ให้น้อยลง

โครงการฝังยาคุมกำเนิดฟรี และการคุมกำเนิดโดยการใส่ห่วงอนามัยของรัฐบาล

สำหรับโครงการนี้ รัฐได้ให้บริการกับเด็กสาวที่มีอายุตั้งแต่ 10 - 20 ปีขึ้นไป เพราะอยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ และมีโอกาสตั้งครรภ์อย่างไม่พึงประสงค์มากที่สุด โดยสามารถขอรับบริการได้ที่โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่งโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งมีการคุมกำเนิดให้เลือก 2 วิธี คือ การคุมกำเนิดด้วยการใส่ห่วงอนามัย และการฝังยาคุมกำเนิดใต้ท้องแขน ซึ่งมีความแตกต่างกันดังต่อไปนี้

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*

แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท

การคุมกำเนิดด้วยห่วงอนามัย

อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูกันเท่าไรนัก กับการคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ แต่ก็มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดค่อนข้างสูง โดยห่วงอนามัย เป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีขนาดเล็ก สำหรับใส่เข้าไปในโพรงมดลูกของผู้หญิง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการฝังตัวของตัวอ่อนที่เกิดจากการผสมกันระหว่างไข่และอสุจิ เหมาะสำหรับการป้องกันการตั้งครรภ์ชั่วคราวตั้งแต่ 3-5 ปี แต่มีข้อควรระวัง คือเรื่องของการมีประจำเดือนที่น้อยลงกว่าเดิม หากใช้ห่วงคุมกำเนิดแบบเคลือบฮอร์โมน หรือห่วงอนามัยแบบลวดทองแดง และอาจพบปัญหาห่วงหลุดโดยที่ไม่รู้ตัวได้

ผู้ที่ควรใช้วิธีการคุมกำเนิดด้วยห่วงอนามัย

สตรีในช่วงวัยรุ่น - และจะดีมากขึ้นหากใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย เพราะห่วงอนามัยไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ และแม้จะสามารถคุมกำเนิดได้แต่ก็ไม่ 100% เช่นกัน ดังนั้นถ้าคุมร่วมกันทั้งสองวิธีก็จะได้ประสิทธิภาพที่ดีกกว่าเดิมนั่นเอง

สตรีที่ไม่ชอบทานยาคุม หรือลืมทานยาคุมกำเนิดเป็นประจำ ซึ่งวิธีการคุมกำเนิดด้วยห่วงอนามัยจะเหมาะกับคนเหล่านี้ที่สุด

สตรีที่กลัวผลข้างเคียงจากการทานยาคุมกำเนิด โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคอ้วน เพราะการคุมกำเนิดด้วยห่วงอนามัยนั้นไม่ทำให้อ้วนนั่นเอง และมีผลข้างเคียงต่ำอีกด้วย

การฝังยาคุมกำเนิด

การฝังยาคุมกำเนิด เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ และมีขั้นตอนในการฝังที่ไม่ยุ่งยาก โดยแพทย์จะทำการฉีดยาชา แล้วใช้เครื่องมือสอดยาคุมเข้าไปในใต้ผิวหนังบริเวณต้นแขนด้านใน ซึ่งลักษณะของยาคุมที่ฝังเข้าไปนั้น จะเป็นหลอดบรรจุฮอร์โมนเล็กๆ มีความนิ่ม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-2.5 มม. และยาวเพียง 4 มม. เท่านั้น ไม่ทิ้งบาดแผลและรอยแผลเป็นไว้ เพียงแค่ใช้พลาสเตอร์ปิดแผล 2-3 วันก็หายเป็นปกติ ซึ่งในขณะนี้มีให้เลือก 2 แบบ คือการฝังเพียง 1 หลอดเพื่อคุมกำเนิด 3 ปี และฝัง 6 หลอดเพื่อคุมกำเนิด 5 ปี

ในการทำงานของยาคุมที่ฝังเข้าไปนั้น จะเกิดจากการที่ฮอร์โมนในหลอดค่อยๆ ละลายและดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด จึงสามารถป้องกันการตกไข่ได้ และยังช่วยให้เกิดมูกเมือกข้นเหนียวที่ปากมดลูกจนไม่สามารถทำให้อสุจิผ่านเข้าไปได้ แต่ทั้งนี้ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องของการมีประจำเดือน และการมีเพศสัมพันธ์แต่อย่างใด ทุกอย่างยังสามารถทำได้อย่างปกติ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการฝังยาคุมก็คือ ภายหลังจากการเป็นประจำเดือน 5 วัน เพราะเมื่อฝังยาคุมครบ 24 ชั่วโมงแล้ว ก็จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เลย แต่ทั้งนี้ ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะกำหนดให้วัยรุ่นหญิงที่มีอายุตั้งแต่ 10 - 20 ปีสามารถเข้ารับบริการได้ฟรี แต่ถ้าหากมีอายุต่ำกว่า 18 ปีลงไป ก็จะต้องมีผู้ปกครองเซ็นชื่อยินยอมก่อนใช้บริการ

ข้อดีในการฝังยาคุมกำเนิด

  • มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์สูง
  • ช่วยลดปัญหาการปวดท้องประจำเดือนได้ เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดท้องประจำเดือนที่สุด
  • มีความสะดวก ฝังเพียงครั้งเดียวก็ป้องกันได้ระยะยาว ไม่ต้องกังวลว่าจะลืมเหมือนการกินยาคุม
  • เมื่อต้องการตั้งครรภ์ ก็สามารถถอดยาคุมออก โดยส่วนมากจะตั้งครรภ์ได้ภายใน 2-3 เดือน
  • ไม่ต้องกังวลเรื่องยาคุมหลุดเหมือนห่วงอนามัย

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฝังยาคุมกำเนิด

  • ประจำเดือนอาจมาไม่ปกติในช่วงเดือนแรก หรืออาจพบปัญหาเลือดออกกะปริบกะปรอย
  • ฮอร์โมนอาจเปลี่ยนแปลง เช่น เป็นสิว เจ็บเต้านม น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ไม่ต่างจากการทานยาคุมกำเนิด

ทั้งสองวิธีนี้ต้องบอกเลยว่าสามารถคุมกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพพอสมควร และเหมาะกับกลุ่มวัยรุ่นหรือคนที่ขี้หลงขี้ลืมเป็นที่สุด ดังนั้นสำหรับใครที่ต้องการคุมกำเนิดด้วยวิธีเหล่านี้ ก็อย่ารอช้ารีบไปใช้สิทธิ์คุมกำเนิดฟรีจากรัฐโดยด่วน แล้วคุณจะหมดกังวลเรื่องการตั้งครรภ์ไปได้เลย แถมไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการคุมกำเนิดใดๆ ทั้งสิ้น คุ้มค่าแบบนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด


1 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
ข่าวแจก"กรมอนามัย เผย ท้องไม่พร้อมส่งผลทำแท้งกว่าร้อยละ 60 เตือนวัยรุ่นป้องกันก่อนมีเพศสัมพันธ์". กรมอนามัย - กระทรวงสาธารณสุข Department of Health. (http://www.anamai.moph.go.th/ewt_news.php?nid=10290&filename=index)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)