หากใครบอกคุณว่าคุณไม่สามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ เพราะคุณมีปัญหาด้านการเรียนรู้ ก็ได้เวลาพิสูจน์ว่าพวกเขาผิดแล้วล่ะ คุณไม่เพียงแต่จะเข้าเรียนได้ แต่ยังสามารถจบปริญญาได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรสองปีหรือสี่ปี หากคุณสงสัยว่าจะเป็นไปได้อย่างไร ก็อ่านต่อไป
- สิ่งแรกที่คุณต้องทำหากคุณมีความบกพร่องในการเรียนรู้ คือแสดงให้เห็นว่าคุณมีภาวะนี้จริง ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือเมื่อคุณอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย พูดคุยกับครูที่ปรึกษาของคุณว่าคุณจะสามารถเข้ารับการประเมินเพื่อตัดสินว่าคุณมีคุณสมบัติสำหรับการสนับสนุนเพิ่มเติมเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่
- หากเกรดของคุณน้อย ให้มุ่งเป้าไปยังการทำคะแนน SAT หรือ ACT ให้ได้ดี ด้วยวิธีนี้คุณจะมีโอกาสในการขอทุนเรียนมหาวิทยาลัยได้ แต่หากคะแนน SAT/ACT ของคุณก็ต่ำเช่นกัน ให้เลือกมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้นำคะแนนเหล่านี้มาพิจารณาการรับเข้าเรียน ซึ่งมีมหาวิทยาลัยมากถึง 850 แห่งที่ไม่ได้ใช้คะแนนดังกล่าวเป็นเกณฑ์ และหากคุณต้องการเข้ามหาวิทยาลัยที่ดี ก็ให้เลือกหนึ่งใน 20 อันดับแรกในรายชื่อนี้ แม้ว่าคะแนน SAT หรือเกรดของคุณอาจต่ำเนื่องจากภาวะของคุณ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยสามารถปฏิเสธการรับสมัครได้ แต่หากคุณแสดงรายงานการประเมินความบกพร่องในการเรียนรู้และพิสูจน์ได้ว่าคุณมีภาวะนี้จริงซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการได้เกรดดี หรือการได้คะแนน SAT สูง ๆ คุณก็อาจได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
- ยื่นรายงานการประเมินสภาพจิตในการศึกษา (psychoeducational evaluation report ซึ่งได้จากการทดสอบความบกพร่องในการเรียนรู้) ไปพร้อมกับเอกสารการสมัคร และขอให้ส่งเอกสารดังกล่าวไปยังสำนักงานสำหรับผู้บกพร่องของมหาวิทยาลัย พวกเขาเป็นผู้ที่เหมาะสมกว่าในการตัดสินเรื่องการเข้าเรียนของคุณ
- ยื่นสมัครมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน หากคุณเพียงแค่ต้องการลองดูก่อน คุณจะไม่ต้องเสียเงินค่าเรียนจำนวนมาก และห้องเรียนก็จะเล็กพอที่อาจารย์จะให้ความสนใจคุณเป็นพิเศษได้หากคุณต้องการ แต่หากคุณต้องการเข้ามหาวิทยาลัยปกติ เลือกที่ที่เหมาะกับภาวะของคุณ และจัดหาสิ่งแวดล้อมและการบริการที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ให้กับคุณ เพื่อที่คุณจะได้เรียนจบโดยไม่มีปัญหามากนัก
- เป็นเรื่องดีที่สุดที่จะกล่าวถึงความบกพร่องในการเรียนรู้ของคุณอย่างเปิดเผยในกระบวนการสมัคร ด้วยวิธีนี้ คุณจะได้รับประกันว่าจะได้ความช่วยเหลือหากคุณได้เข้าเรียน ตามกฎหมายแล้ว สถาบันการศึกษาต้องจัดหาตัวช่วย เช่นคอมพิวเตอร์สำหรับข้อสอบเขียน เวลาทำข้อสอบพิเศษ และการจดบันทึกระหว่างคาบเรียนสำหรับผู้มีความบกพร่องในการเรียนรู้ อ้างอิงจาก Association on higher education and disability มีนักเรียนแค่ 28% ที่มีภาวะนี้เท่านั้นที่เรียนจบ แต่สาเหตุที่ตัวเลขดังกล่าวต่ำเป็นเพราะมีนักเรียนเพียง 25% ที่ใช้ประโยชน์จากบริการที่จัดไว้ให้พวกเขาในมหาวิทยาลัย
- หากความบกพร่องในการเรียนรู้ของคุณเกี่ยวข้องกับโรค เช่น autism หรือ Asperger’s syndrome หรือหากคุณต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติม คุณอาจติดต่อกับ College Living Experience (CLE) ซึ่งทำงานช่วยนักเรียนที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้ในการเรียน และในแง่มุมอื่น เช่น การเติบโตทางอารมณ์ ทักษะทางสังคม และความสามารถในการใช้ชีวิตด้วยตนเอง CLE ทำงานในหกเมืองที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งนักเรียนที่เข้าร่วมกับ CLE และมหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้ศูนย์ และอาจารย์จะให้ความช่วยเหลือตามที่พวกเขาต้องการ
- หลักการในการเข้ามหาวิทยาลัยและสำเร็จการศึกษาคือต้องเชื่อมั่นในตัวเอง และแน่วแน่ที่จะจบการศึกษาให้ได้ ความสำเร็จจะยิ่งหอมหวานหากคุณได้เอาชนะอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่มาก่อน คุณจะได้รับความพึงพอใจในการเอาชนะหนทางที่เต็มไปด้วยความยากลำบากมากกว่าผู้ที่หนทางราบรื่น และชัยชนะที่ได้มาอย่างยากลำบากก็มีค่ามากกว่าชัยชนะที่ได้มาโดยไม่ต้องแข่งขันอะไรการศึกษาก็เช่นกัน เมื่อคุณรู้ว่าคุณได้เอาชนะความท้าทาย ซึ่งอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความบกพร่องในการเรียนรู้ที่หลอกหลอนคุณมาตั้งแต่คุณยังอยู่ในโรงเรียนจนถึงวันที่คุณได้รับปริญญา ค่าของชัยชนะก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ดังนั้น ไม่ว่าจะมีใครทำให้คุณเสียกำลังใจมากแค่ไหน ไม่ว่าใครจะบอกปฏิเสธ จำไว้ว่าคุณสามารถผ่านการรับเข้าศึกษาต่อและเรียนจบปริญญาได้ สิ่งที่ต้องใช้คือความตั้งใจที่จะทำ และความรู้เกี่ยวกับกระบวนการที่ต้องทำ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท