ทุก ๆ วัน เด็กในโรงเรียนต่าง ๆ ต้องรับมือกับการรังแก พวกเขาถูกทรมาน ถูกคุกคาม ถูกต่อย ถูกผลัก และถูกทำให้อับอาย และประสบการณ์รุนแรงทุกอย่างยังมีความจำเพาะ ซึ่งไม่ได้เพียงแต่ขึ้นอยู่กับประเภทของการรังแกเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับเพศของผู้รังแกอีกด้วย
เมื่อเป็นเรื่องของการรังแก เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงจะมีแนวทางที่ต่างกันอย่างมาก ตัวอย่างเช่น เด็กผู้หญิงมักใช้การคุกคามเชิงสัมพันธภาพ (relational aggression) ในขณะที่เด็กผู้ชายมักจะชอบใช้วิธีการคุกคามทางร่างกาย (physical bullying) มากกว่า
นี่ไม่ได้หมายความว่าเด็กผู้หญิงจะไม่ใช้การคุกคามทางร่างกาย หรือเด็กผู้ชายจะไม่ใช้วิธีอื่น ๆ เลย แต่มีแนวโน้มของการรังแกว่าจะได้รับอิทธิพลจากเพศ มาดูให้ละเอียดมากขึ้นว่าอะไรทำให้การรังแกในเด็กผู้ชายแตกต่างจากการรังแกของผู้หญิง
เจาะลึกการรังแกของผู้ชาย
เมื่อกล่าวถึงพฤติกรรมการรังแก เด็กผู้ชายมักใช้ความรุนแรงทางร่างกายมากกว่าและมีความวู่วามมากกว่าเด็กผู้หญิง ผลก็คือพวกเขามักโจมตีผู้อื่นเมื่อผู้อื่นแสดงความอ่อนแอ นอกเหนือจากนี้ ผู้รังแกที่เป็นผู้ชายหรือ alpha males ยังมักสร้างกลุ่มของผู้ติดตามที่มองหาการยอมรับอีกด้วย ผลคือเด็กผู้ชายหรือผู้ติดตามเหล่านี้มักทำอะไรก็ตาม หรือพูดอะไรก็ได้เพื่อคงสถานะของตนเองในกลุ่มไว้
ในทำนองเดียวกัน ผู้รังแกที่เป็นชายมักมีความสุขกับสถานะที่การต่อสู้นำมาให้ ผลคือพวกเขาอาจหลงไปทำพฤติกรรมบ้าระห่ำ และมักตรงไปตรงมามากกว่าเมื่อรังแกผู้อื่น เมื่อเด็กผู้ชายรังแก พวกเขามักรังแกทั้งผู้หญิงและผู้ชาย พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะเปิดเผยเรื่องพฤติกรรมการรังแกมากกว่า ซึ่งทำให้ตรวจหาการรังแกในเด็กผู้ชายได้ง่ายกว่า
โดยสรุปแล้ว เด็กผู้ชายมีแนวโน้มจะรังแกและถูกรังแกได้มากกว่าเด็กผู้หญิง และพวกเขายังยอมรับพฤติกรรมการรังแกได้มากกว่าเด็กผู้หญิง สิ่งนี้หมายความว่าเด็กผู้ชายอาจยังคงชอบเด็กผู้หญิงอยู่แม้ว่าเธอจะรังแกคนอื่นและพวกเขาอาจเป็นมิตรกับเด็กผู้ชายที่รังแกคนอื่นด้วย ท้ายที่สุดคือการรังแกของเด็กผู้ชายมีแนวโน้มที่จะจบลงได้เร็วกว่าเด็กผู้หญิง ผลก็คือเด็กผู้ชายจะปล่อยวางได้ แต่เด็กผู้หญิงมักจะผูกอาฆาต
เจาะลึกการรังแกของผู้หญิง
เด็กผู้หญิงมีแนวโน้มจะแกล้งเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ ทางอ้อม หรือใช้การคุกคามเชิงสัมพันธภาพ ผลก็คือพวกเธอมักใช้วิธีการทำร้ายทางวาจา การตัดความสัมพันธ์ การกระจายข่าวลือ และการนินทา ซึ่งเป็นตัวอย่างของพฤติกรรมแบบยายตัวร้าย (mean girl behavior) ยิ่งไปกว่านั้น เด็กผู้หญิงยังปกปิดการรังแกของพวกเธอและแสดงออกในลักษณะที่ไม่ชัดเจน ซึ่งทำให้การรังแกในเด็กผู้หญิงตรวจพบได้ยากกว่า
เด็กผู้หญิงก็ตั้งกลุ่มรายล้อมผู้นำเช่นเดียวกับเด็กผู้ชาย แต่ในกลุ่มของเด็กผู้หญิง โดยเฉพาะในพวกเดียวกัน เด็กผู้หญิงมักมีการแข่งขันระหว่างกันอยู่เสมอ ผลก็คือ พวกเธอจะไม่เคยไว้ใจพวกเดียวกันอย่างแท้จริง ตัวอย่างเช่น ผู้นำในกลุ่มมักมีความกังวลอยู่เสมอว่าเธออาจสูญเสียอำนาจให้สมาชิกในกลุ่มที่ดูคู่ควรกับตำแหน่งมากกว่าเธอเมื่อไรก็ได้ หากสิ่งนี้เกิดขึ้น ก็จะเกิดกลุ่มใหม่ขึ้นรายล้อมหัวหน้าคนใหม่
การรังแกในผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่ได้ทำคนเดียว แต่มีแนวโน้มจะสมรู้ร่วมคิดกันทำร่วมกับผู้ที่สนับสนุนพฤติกรรมของพวกเธอ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงจะร่วมมือกันในการแกล้งครั้งแรกเพื่อให้ได้ที่ยืนทางสังคมในกลุ่ม ซึ่งทำให้เกิดแรงกดดันและการรังแกกันแม้จะรู้ว่าเป็นสิ่งผิด
ในขณะเดียวกัน เด็กผู้หญิงยังประสบกับการรังแกทางเพศมากกว่าเด็กผู้ชาย ตัวอย่างเช่น เด็กผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะกระจายข่าวลือเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศไม่ว่าจะฟังดูน่าเชื่อถือได้หรือไม่ และพวกเขายังมีแนวโน้มที่จะเป็นฝ่ายถูกกระทำจากการคุกคามทางเพศจากเด็กผู้ชายด้วย
สรุปคือ เด็กผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะไตร่ตรองมากกว่าในการรังแกของพวกเธอ ในขณะที่เด็กผู้ชายมักทำไปตามสถานการณ์ ผลคือเด็กผู้หญิงมักตกเป็นเหยื่อของการรังแกทางจิตใจเนื่องจากต้องใช้การวางแผน และเด็กผู้ชายมักตกเป็นเหยื่อของการรังแกทางร่างกายเนื่องจากเกิดขึ้นตามอารมณ์
เนื่องจากเด็กผู้ชายและผู้หญิงรังแกต่างกัน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องแยกความแตกต่างดังกล่าวได้ ไม่เช่นนั้นแล้วจะไม่สามารถตรวจพบการรังแกได้โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิง หากสิ่งนี้เกิดขึ้น ผลที่ตามมาจากการรังแกจะยิ่งมีมาก ที่จริงแล้ว ยิ่งการรังแกเกิดขึ้นนานเท่าใด ก็จะยิ่งมีความรุนแรงของการตอบสนอง และใช้เวลาในการกำจัดการรังแกให้หมดไปได้ยากกว่า