โรคที่ทำให้เกิดอาการเวียนหัวบ้านหมุนและเสียการทรงตัว
นอกจากอาการเวียนหัวบ้านหมุนซึ่งเกิดจากสาเหตุอื่นๆ แล้วยังมีอีกหลายสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการเสียการทรงตัว อาการสูญเสียการได้ยิน หรือมีเสียงดังรบกวนในหูได้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
“โรคทางหู” ที่มีความเกี่ยวข้องกับอาการเวียนหัวบ้านหมุนและเสียการทรงตัว
- โรคหูน้ำหนวก (Otitis Media)
โรคหูน้ำหนวกประเภทเฉียบพลัน อาจทำให้เชื้อโรคลุกลามเข้าสู่หูชั้นใน (Toxic Labyrinthitis)ได้
ส่วนโรคหูน้ำหนวกประเภทเรื้อรัง อาจมีภาวะโคเลสเทียโทมา (Cholesteatoma) หรือการกัดกร่อนกระดูกในหูชั้นใน ทำให้เกิดการระคายเคืองที่ปลายประสาทหูชั้นใน ก่ออาการเวียนศีรษะอย่างรุนแรงและมีหนองไหลออกจากหู ในกรณีนี้ผู้ป่วยมักมีประวัติเป็นโรคหูน้ำหนวกอย่างชัดเจน
- โคเลสเทียโทมา (Cholesteatoma)
เป็นผิวหนังในหูชั้นนอกที่จะเดินเข้าไปสู่หูชั้นกลาง โดยปรกติเยื่อบุผิวบริเวณนี้จะมีการหลุดลอกและมีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน แต่เมื่อมีการหมักหมมมากๆจะรวมตัวกันเป็นก้อน ทำให้เกิดแรงดันเพิ่มขึ้นในหูชั้นกลางและโพรงกระดูกมาสตอยด์ ซึ่งสามารถทำลายโครงสร้างต่างๆ เช่น กระดูกหูสามชิ้น ทำให้เกิดการนำเสียงผิดปกติอาจลุกลามไปสู่สมองได้
- ความผิดปรกติของ หูชั้นกลางเนื่องจากหวัด (Eustachian Tube Dysfunction)
การเป็นหวัดอาจทำให้มีเชื้อโรคลุกลามเข้าสู่หูชั้นกลางได้หรืออาจเกิดการบวมของท่อ ยูสเตเชียน ทำให้ไม่สามารถปรับความดันในหูชั้นกลาง เช่น เวลาเครื่องบินขึ้นหรือลงจะกระทบกระเทือนความดันในหูชั้นใน และรบกวนการทำงานของปลายประสาทการทรงตัวได้ด้วย
- โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
เป็นโรคที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยอาการเวียนศีรษะ โรคนี้เป็นความผิดปกติในหูชั้นในที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด อาการสำคัญมีสามประการ คือ อาการเวียนศีรษะเฉียบพลัน อาการหูอื้อได้ยินไม่ชัด และมีเสียงดังในหูข้างนั้นๆ ทั้งนี้อาการนำอาจเป็นอาการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ที่สำคัญคือ เมื่อเป็นแล้วถ้าไม่ได้รับการรักษาจริงจังก็จะเป็นๆ หายๆ ประสิทธิภาพการได้ยินจะแย่ลง และอาจเป็นกับหูทั้งสองข้างก็ได้
“อาการทางกายอื่นๆ” ที่มีความเกี่ยวข้อง
- อาการเวียนศีรษะขณะเปลี่ยนท่า (Positional Vertigo)
ลักษณะเฉพาะของอาการเวียนศีรษะแบบนี้คือ การเวียนศีรษะของผู้ป่วยจะเกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่หันศีรษะไปทางใดทางหนึ่งเท่านั้น อาการเวียนศีรษะลักษณะนี้ต้องแยกให้ออกก่อนว่าไม่ใช่อาการของเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอหรือความดันเลือดตกขณะเปลี่ยนท่า เช่น จากท่านั่งเป็นยืน หรือจากท่าก้มเป็นยืน อาการเวียนศีรษะจะเกิดขึ้นประมาณ 1 นาทีขณะเปลี่ยนท่าอย่างรวดเร็ว ซึ่งมักเป็นร่วมกับโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคความดันโลหิตต่ำ และมักเป็นในผู้สูงอายุซึ่งอาจมีอาการกระดูกคอเสื่อมหรือกระดูกกดทับเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเวลาแหงนหน้าหรือหันศีรษะ
ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการเวียนศีรษะขณะล้มตัวลงนอนหรือพลิกตัวซึ่งมักเกิดขึ้นขณะตะแคงไปข้างใดข้างหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีอาการวูบและรู้สึกเหมือนบ้านหมุนอยู่ประมาณหลักวินาทีเท่านั้น และอาการจะหายไปเองภายในเวลาไม่เกิน 1 นาที ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเรียนรู้ได้เองว่าท่าไหนจะทำให้เกิดอาการ จึงสามารถระมัดระวังตัวเองได้ อาการเช่นนี้พบบ่อยและหายเองได้ แต่ก็อาจกลับมาเป็นได้อีก ภาวะผิดปกติที่ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะประเภทนี้มีหลายประการ ส่วนใหญ่เป็นความผิดปกติของก้อนหินปูนในช่องหูที่ทำหน้าที่รักษาสมดุลร่างกายตามแรงโน้มถ่วงของโลก จึงเรียกว่า “โรคหินปูนในหูหลุด” (Bening Paroxysmal Positional Vertigo – BPPV) ซึ่งสามารถรักษาโดยการทำกายภาพบำบัด
วิธีการ คือ ให้ผู้ป่วยบริหารศีรษะและลำคอเพื่อช่วยฝึกระบบการทรงตัว หรือทำท่าพลิกตัว 360 องศา หรือพลิกตัวตะแคงกลับซ้ายขวา 180 องศา ให้หินปูนหลุดไปยังตำแหน่งอื่น อย่างไรก็ตามผู้ป่วยควรต้องให้แพทย์วินิจฉัยอาการของโรคที่มีสาเหตุจากสมองด้วย
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
การบริหารศีรษะเพื่อเคลื่อนตำแหน่งของหินปูนที่หลุด ไม่ให้กระทบคูปุลา (Semont Maneuver for Repositioning Therapy)
- อาการเวียนศีรษะจากสมองขาดเลือดชั่วขณะ (Vertebrobasilar Arterial Insufficiency – VBI หรือ TIA)
มักพบในผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้ที่มีความผิดปกติของกระดูกคอ เช่น มีการเสื่อมของกระดูกคอหรือกระดูกงอก (Cervical Spondylosis หรือ Spur) จะมีอาการเวียนศีรษะเมื่อหันศีรษะไปมาหรือแหงนหน้ามากๆ เพราะกระดูกที่งอกจะไปกดทับหลอดเลือดแดงทำให้ก้านสมองขาดเลือดชั่วคราว แต่มักเป็นแค่ช่วงสั้นๆประมาณ 1 นาที
บางรายอาจมีอาการเฉพาะ คือ เข่าอ่อน ทรุด ล้ม ตาพร่า เห็นภาพซ้อน พูดไม่ชัด มือ – เท้าชา งุ่มง่ามร่วมด้วย ซึ่งการเอกซเรย์กระดูกคอจะช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรคได้
การเสื่อมการอักเสบและความผิดปกติอื่นๆที่มีความเกี่ยวข้อง
- การเสื่อมของประสาทการทรงตัวจากการติดเชื้อเฉพาะอย่าง (CNS Degenerative Disease)
เช่น การติดเชื้อซิฟิลิส (ยังไม่พบในบ้านเรา) อาจมีผลต่อระบบประสาทการทรงตัวและระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งเป็นได้ทั้งผู้เป็นซิฟิลิสแต่กำเนิดโดยติดเชื้อผ่านแม่ (Late Congenital) และผู้ป่วยซิฟิลิสระยะ 3-4 (Acquired Tertiary Syphilis) ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายโรคน้ำในหูไม่เท่ากันจึงอาจวินิจฉัยได้ยาก การตรวจปฏิกิริยาในน้ำเหลืองเพื่อหาระดับ VDRL, TPHA และ FTA – ABS จะช่วยให้การวินิจฉัยโรคซิฟิลิสทำได้ง่ายขึ้น
- การอักเสบของประสาทการทรงตัว (Vestibular Neuronitis)
ผู้ป่วยจะมีอาการเสียการทรงตัวอย่างเฉียบพลัน อาจรุนแรงถึงขั้นคลื่นไส้ อาเจียน บ้านหมุน แต่มักไม่มีอาการทางหูหรือสูญเสียการได้ยินร่วมด้วย สามารถพบได้ทุกช่วงอายุ อาการจะคงอยู่เป็นเวลานาน บางรายอาจเป็นถึง 2 สัปดาห์ หากทำการตรวจการทำงานของประสาทการทรงตัวจะพบว่าข้างใดข้างหนึ่งไม่ทำงาน มักพบร่วมกับภาวะเจ็บคอ เป็นหวัด การติดเชื้อไวรัสของทางเดินหายใจส่วนต้น ก็อาจเป็นสาเหตุได้
- เนื้องอกของประสาทการทรงตัว
สมัยก่อนนิยมเรียกว่า Acoustic Neuroma เนื่องจากผู้ป่วยมักมาหาแพทย์ด้วยอาการสำคัญ คือสูญเสียการได้ยินของหูไปข้างใดข้างหนึ่ง โดยอาการจะเป็นช้าๆ ต่อมาจะเริ่มเสียการทรงตัว เช่น เดินเซขณะเปลี่ยนท่า มักไม่มีอาการเวียนศีรษะร่วมด้วย เนื่องจากเนื้องอกชนิดนี้จะเติบโตอย่างช้าๆ ประสาทการทรงตัวจึงสามารถปรับตัวได้ แต่อาการสูญเสียการได้ยินจากการกดทับประสาทการรับเสียง เมื่อเนื้องอกโตมากขึ้นอาจทำให้มีอาการชาหรือเป็นอัมพาตหรือบริเวณใบหน้าข้างนั้นร่วมด้วย เนื่องจากมีการกดทับเส้นประสาทใบหน้าคือประสาทสมองคู่ที่ 7 ร่วมกับประสาทได้ยินคู่ที่ 8 แม้ว่าเนื้องอกชนิดนี้จะโตช้าและไม่ร้ายแรง แต่หากปล่อยทิ้งไว้ เนื้องอกอาจลุกลามเข้าสู่ภายในกะโหลกศีรษะแล้วไปเบียดก้านสมองจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
นองจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สามารถนำไปสู่อาการเสียการทรงตัว การสูญเสียการได้ยิน หรือมีเสียงดังรบกวนในหูอีก ได้แก่
- การได้รับยาหรือสารที่เป็นพิษต่อประสาทการทรงตัว (Toxic Labyrinthitis)
เช่น ยาปฏิชีวนะในกลุ่มแอมิโนกลัยโคไซด์ ได้แก่ ยาสเตรปโตมัยซิน (Streptomycin) เจนทามิซิน (Gentamicin) คานามัยซิน (Kanamycin) และยาควินิน ยาเหล่านี้อาจส่งผลต่อปลายประสาทการทรงตัว ประสาทการได้ยินในหูชั้นใน และอาจมีผลทำลายปลายประสาทได้
- การบาดเจ็บที่ศีรษะ
หมายถึงการบาดเจ็บที่อาจทำให้กะโหลกศีรษะร้าวมายังส่วนที่เป็นอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน หรืออาจมีเลือดออกในหูชั้นในจากการกระทบกระเทือน หรือเกิดการตกเลือดในสมองส่วนที่เกี่ยวกับการทรงตัว นอกจากนี้อาการไอหรือจามอย่างรุนแรงก็อาจทำให้เกิดการทะลุของเยื่อที่กั้นระหว่างหูชั้นกลางและหูชั้นใน จึงอาจเป็นอันตรายต่อปลายประสาทหูชั้นในจนเสียการทรงตัวหรือหูดับฉับพลันได้
คุณสามารถอ่านข้อมูลดีๆมีประโยชน์แบบนี้ได้เพิ่มเติมที่หนังสือ "โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน" โดยศาสตราจารย์เกีนรติคุณ แพทย์หญิงสุจิตรา ประสานสุข จากสำนักพิมพ์ Amarin Health เพื่อสนับสนุนผู้แต่ง