February 08, 2017 14:53
ตอบโดย
ศิรินทิพย์ ผอมน้อย (นักจิตวิทยาคลินิก)
ต้องปรับตัวปรับเรื่องการทานอาหารสักนิดค่ะ ได้แก่
- พยายามทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนสูง แต่ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่ายๆ เช่น นม น้ำซุป หรือน้ำหวาน เป็นต้น
- การทานเนื้อสัตว์นั้นควรเลือกประเภทที่ย่อยง่ายๆ เช่น ปลา เพราะหาเป็นเนื้อสัตว์ประเภท หมู เนื้อ จะย่อยยากอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้ ไม่ควรทานอาหารขณะที่ร้อนๆเพราะอาหารปรุงสุกใหม่จะมีกลิ่นแรงกระตุ้นให้คลื่นไส้ได้ง่าย ควรวางให้กลิ่นจางสักครู่ก่อนทาน
- หลีกเลี่ยงกลิ่น รส หรืออาหารที่ไม่ชอบ แม้แต่อาหารที่มีกลิ่นฉุน เช่น กระเทียม ก็อาจกระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้
- กินให้บ่อยขึ้น อย่าปล่อยให้ท้องว่างนานเกินไป เพราะว่ากระเพาะจะหลั่งน้ำย่อยออกมา ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้
ควรแบ่งมื้ออาหารออกเป็น 6 มื้อย่อยๆ แทน 3 มื้อหลักๆ อาหารว่างที่ดีควรเป็นขนมปังกรอบหรือผลไม้ต่างๆ เป็นต้น ในตอนเช้าหลังจากตื่นนอนมา ควรได้ดื่มน้ำ กินขนมปังปิ้งซัก 1-2 แผ่น บางคนอาจจะไม่ค่อยมีแรงก็อาจต้องกินบนเตียงนอนก่อนลุกจากที่นอน เพื่อช่วยลดอาการคลื่นไส้ บางคนอาจมีอาการอาเจียนตอนเย็นหลังเลิกงาน ก็ควรที่จะกินอาหารว่างในช่วงก่อนเลิกงานซักเล็กน้อย หากเกิดอาการหิวขึ้นมากลางดึกก็ควรดื่มนมซักแก้ว สามารถเตรียมขนม ไว้ข้างเตียงเพื่อจะได้หยิบกินสะดวกก็ได้ค่ะ
- ดื่มน้ำให้มากขึ้น เนื่องจากร่างกายของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อาจต้องสูญเสียน้ำจากการอาเจียน การดื่มน้ำสะอาดหรือกินอาหารที่มีน้ำหรือผลไม้ที่มีน้ำมากๆ ก็จะช่วยได้ การดื่มน้ำควรดื่มทีละน้อยๆ แต่ดื่มบ่อยๆ ไม่ควรดื่มน้ำทีละมากๆ หลังอาหารทันที เพราะจะไปรบกวนการย่อยอาหาร
- ควรกินวิตามินเสริมอาหารตามคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากการอาเจียน อาจทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน จึงควรทานวิตามินเสริม (ในรายที่มีอาการแพ้ท้องมากๆ คุณหมออาจให้ยาแก้อาเจียน)
- ต้องพักผ่อนให้มากขึ้น และผ่อนคลายความเครียด
- หลังจากตื่นอนให้นอนอยู่บนเตียงซัก 10-20 นาที แล้วกินอาหารว่าง หรือทานมื้อเช้าบนเตียงก่อนที่จะลุกจากเตียงมาทำภารกิจประจำวัน
-หมั่นดูแลทำความสะอาดฟันอยู่เสมอ บ้วนปากด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำเกลืออ่อนๆ เป็นประจำ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตอบโดย
วลีรักษ์ จันทร (พว.)
แม่ท้องส่วนมากมักประสบอาการแพ้ท้องหรือปวดหลัง แต่น้อยนักที่จะมีปัญหาเกี่ยวกับ การรับรสที่ผิดปกติ หรือการรับรู้รสชาติอาหารแย่ลง ซึ่งถือเป็น อีกอาการหนึ่ง ที่สร้างความแปลกใจให้แม่ท้องไม่น้อยเลย อาการรับรู้รสชาติอาหารผิดเพี้ยนนั้น แน่นอนว่าเกิด จากฮอร์โมนแม่ท้อง ฮอร์โมนนี้จะทำให้เกิดอาการมีรสขมหรือ เหมือนมีรสโลหะอยู่ ในปากตลอดเวลา ซึ่งกิน อะไร
ก็ไม่อร่อยเลย จนพาลทำให้ แม่ท้องเบื่ออาหารไปด้วย หลายคนที่เกิดอาการนี้คงรู้สึกกลุ้มใจ เพราะเป็น ห่วงว่า ลูกในท้องจะได้รับ สารอาหารไม่ครบถ้วน ไม่ต้องห่วงไปค่ะ เพราะเรามีเคล็ดลับง่ายๆ ที่ทำให้คุณแม่กลับมาสนุกสนานกับการรับรสชาติอาหารได้เหมือนเดิม
-เติมเปรี้ยวนิดหน่อยไม่ว่าจะเป็นน้ำส้มสายชู มะนาว ซอสเปรี้ยวหรืออาหารรสเปรี้ยวอื่นๆ จะช่วยกระตุ้นให้รับรสอาหาร
ดีขึ้นและผลิตน้ำลายได้มากขึ้น ดังนั้นคุณแม่ลองผสมน้ำมะนาวลงในน้ำเปล่า ดื่มน้ำมะนาว หรือแม้แต่บีบมะนาวกินสดๆ สัก 4 - 5 หยดไปเลยก็ได้
-เหยาะเกลือเล็กน้อยหากลิ้นของคุณแม่อ่อนไหวต่ออาหารรสหวานลองเหยาะเกลือลงในแยมหรือผลไม้กระป๋อง
อีกทางเลือกหนึ่งคือ ลองรับประทานอาหารว่างที่มีรสเค็มเพื่อกระตุ้นก่อน เช่น ชีส เนยถั่ว
หรือมะกอกแช่เกลือ
-เปลี่ยนวิตามินลองปรึกษาคุณหมอขอเปลี่ยนเป็นวิตามินบำรุงครรภ์แบบเคี้ยวได้ซึ่ง จะช่วยให้รับประทานวิตามินได้ดีขึ้น
-เเปรงฟันบ่อยๆคุณแม่ควรแปรงฟันให้บ่อยขึ้น โดยแปรงทั้งฟันเเละลิ้นจากนั้นบ้วนปากด้วยเบกกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว เพื่อช่วยปรับค่าพีเอชให้เป็นกลาง ซึ่งจะทำให้การรับรู้รสชาติดีขึ้นกว่าเดิมสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าคุณแม่จะอยากให้ลูกน้อยได้สารอาหารครบถ้วนแค่ไหน เเต่ในไตรมาสแรกนี้คุณแม่ควรเลือกอาหารที่สามารถกินได้ ไม่ต้องรู้สึกผิดหากจะไม่ได้กินอาหารเพื่อสุขภาพซึ่งอาการรับรู้รสผิด
เพี้ยน นี้จะค่อยๆ หายไปในไตรมาส ที่สอง เมื่อถึงตอนนั้นคุณแม่ค่อยหันมา กินอาหารที่มีประโยชน์ก็
ยังไม่สาย แต่หากคุณแม่ยังรู้สึกไม่สบายใจ ว่าอาจขาดโภชนาการที่ดี ลองพูดคุยและปรึกษา
คุณหมอเพื่อขอคำแนะนำดีที่สุดค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ตอบโดย
รัชนี รุ่งราตรี (พญว.)
ตอนที่ตั้งท้อง อาการรับรู้รสชาติอาหารผิดเพี้ยนนั้น แน่นอนว่าเกิด จากฮอร์โมนแม่ท้อง
“ฮอร์โมนนี้จะทำให้เกิดอาการมีรสขมหรือ เหมือนมีรสโลหะอยู่ ในปากตลอดเวลา” ซึ่งกิน อะไร
ก็ไม่อร่อยเลย จนพาลทำให้ แม่ท้องเบื่ออาหารไปด้วย หลายคนที่เกิดอาการนี้คงรู้สึกกลุ้มใจ เพราะเป็น ห่วงว่า ลูกในท้องจะได้รับ สารอาหารไม่ครบถ้วน ไม่ต้องห่วงไปค่ะ เพราะเรามีเคล็ดลับ
ง่ายๆ ที่ทำให้คุณแม่กลับมาสนุกสนานกับการรับรสชาติอาหารได้เหมือนเดิม
เติมเปรี้ยวนิดหน่อย
ไม่ว่าจะเป็นน้ำส้มสายชู มะนาว ซอสเปรี้ยวหรืออาหารรสเปรี้ยวอื่นๆ จะช่วยกระตุ้นให้รับรสอาหาร
ดีขึ้นและผลิตน้ำลายได้มากขึ้น ดังนั้นคุณแม่ลองผสมน้ำมะนาวลงในน้ำเปล่า ดื่มน้ำมะนาว หรือแม้แต่
บีบมะนาวกินสดๆ สัก 4 - 5 หยดไปเลยก็ได้ นอกจากนี้ ลองเปลี่ยนการใช้จานพลาสติกมาเป็น
เครื่องเงินก็ช่วยได้เช่นกัน
เหยาะเกลือเล็กน้อย
หากลิ้นของคุณแม่อ่อนไหวต่ออาหารรสหวานลองเหยาะเกลือลงในแยมหรือผลไม้กระป๋อง
อีกทางเลือกหนึ่งคือ ลองรับประทานอาหารว่างที่มีรสเค็มเพื่อกระตุ้นก่อน เช่น ชีส เนยถั่ว
หรือมะกอกแช่เกลือ
เปลี่ยนวิตามิน
ลองปรึกษาคุณหมอขอเปลี่ยนเป็นวิตามินบำรุงครรภ์แบบเคี้ยวได้ซึ่ง จะช่วยให้รับประทานวิตามิน
ได้ดีขึ้น
เเปรงฟันบ่อยๆ
คุณแม่ควรแปรงฟันให้บ่อยขึ้น โดยแปรงทั้งฟันเเละลิ้นจากนั้นบ้วนปากด้วยเบกกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว เพื่อช่วยปรับค่าพีเอชให้เป็นกลาง ซึ่งจะทำให้การรับรู้รสชาติดีขึ้นกว่าเดิมสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าคุณแม่จะอยากให้ลูกน้อยได้สารอาหารครบถ้วนแค่ไหน เเต่ในไตรมาสแรกนี้คุณแม่ควรเลือก
อาหารที่สามารถกินได้ ไม่ต้องรู้สึกผิดหากจะไม่ได้กินอาหารเพื่อสุขภาพซึ่งอาการรับรู้รสผิด
เพี้ยน นี้จะค่อยๆ หายไปในไตรมาส ที่สอง เมื่อถึงตอนนั้นคุณแม่ค่อยหันมา กินอาหารที่มีประโยชน์ก็
ยังไม่สายค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ตอนนี้ท้องได้2เดือนคะรู้สึกเบื่ออาหารทานได้แต่นมควรทำงัยดีคะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)