May 23, 2017 16:29
ตอบโดย
พิศุทธิกาญจญ์ รังคกูลนุวัฒน์ (พญ.)
โดยปกติร่างกายคนเราจะรับรู้อาการปวด จากตัวรับรู้ความเจ็บปวด หรือ Pain receptor
ซึ่งตัวรับรู้ความเจ็บปวดก็จะไปอยู่ที่อวัยวะต่างๆตามร่างกาย เช่นผิวหนัง อวัยวะภายในต่างๆ หลอดเลือดเป็นต้น
อาการปวดศรีษะก็เกิดจากสาเหตุเดียวกัน แต่ที่เกิดบริเวณศรีษะ หรืออวัยวะภายในศรีษะค่ะ โดยแบ่งสาเหตุการปวดศรีษะได้ 2 อย่างคือ
1.อาการปวดศรีษะที่เกิดจากอวัยวะที่มีตัวรับความรู้สึกเจ็บปวดทำงานมากเกินไปโดยที่ไม่ได้เกิดจากโรคประจำตัวของคนไข้ และอาจจะเกิดจากสารสื่อประสาทไม่สมดุลย์
และทำให้เส้นประสาทและเส้นเลือดนอกสมองมีการกระตุ้นให้เกิดอาการปวด หรือเรียกภาษาอังกฤษว่า Primary headache
2.อาการปวดศรีษะที่มีต้นเหตุจากโรคอะไรก็ตามที่มากระตุ้นให้เกิดความเจ็บปวดมากขึ้น หรือเรียกว่า Secondary headache
โดยในกลุ่มของ Primary headache โรคที่พบได้บ่อย ได้แก่
1.โรคไมเกรน (migrain) โรคชนิดหนึ่งซึ่งยังหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ แต่น่าเชื่อได้ว่าอาจมีจุดกำเนิดจากก้านสมองที่ทำงานผิดปกติ
หรือเกิดจากภาวะที่สารเคมีในสมองไม่สมดุล ส่งผลให้หลอดเลือดมีความไวต่อการกระตุ้นมากเป็นพิเศษกล่าวคือ มีการหด และขยายตัวของหลอดเลือดอย่างผิดปกติ ทำให้เกิดอาการปวดศรีษะได้
โดยลักษณะอาการปวดศรีษะจะมีลักษณะ ปวดบริเวณขมับโดยอาจจะปวดข้างเดียว หรือทั้งสองข้างก็ได้ บางกรณีอาจมีการปวดวนกันไป และมักจะปวดข้างเดิมอยู่ซ้ำ ๆ
ส่วนอีกบริเวณหนึ่งที่พบมาก ได้แก่ บริเวณเบ้าตา ลักษณะของการปวด ก็มักจะปวดตุ้บๆ ตามจังหวะของชีพจร ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
การรักษาโดยการกินยาลดอาการปวด การกินยาป้องกันไม่ให้หลอดเลือดหดและขยายตัวซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดเกิดขึ้น
หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคกำเริบซึ่งจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล เช่นความเครียด บางคนเจออาการร้อนหรือที่ๆแสงสว่างมากๆก็กระตุ้นได้ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มชูกำลัง หรือเครื่องดืมที่มีคาเฟอีน
2.Tension headache เป็นการปวดศรีษะชนิดหนึ่ง ที่พบได้บ่อยที่สุด วินิจฉัยโดยอาศัยลักษณะ อาการปวดโดยมักจะปวดตื้อๆ บีบๆเริ่มจากบริเวณท้ายทอยร้าวไปขมับ สองข้าง
บางครั้งอาจจะกดเจ็บบริเวณหนังศรีษะร่วมด้วย มักมีสาเหตุเกิดจากความเครียด การทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ
การรักษาคือการให้ยาบรรเทาปวด การลดความเครียด การฝึกยืดกล้ามน้อยคอ และพักผ่อนให้เพียงพอค่ะ
ในกลุ่มของPrimary headache นั้นเนื่องจากเกิดจากการทำงานของอวัยวะหรือตัวรับรู้ความรู้สึกเองที่ทำงานมากขึ้นกระตุ้นให้เกิดความเจ็บปวด ไม่ได้เกิดจากมีโรคซ่อนอยู่ทำให้ไม่อันตรายมากแต่หากไม่มั่นใจควรไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ
กลุ่มของ Secondary headache นั้นค่อนข้างอันตรายเนื่องจากมีสาเหตุที่มีโรคซ่อนอยู่ และเกิดการกระตุ้นผ่านตัวรับรู้ความรู้สึกทำให้เกิดอาการปวดศรีษะออกมาได้
โดยอาการที่ต้องระวังที่หากมีอาการเหล่านี้นั้นมักจะต้องคิดถึง secondary headache คือ
1.ปวดมาก ปวดตลอดเวลาไม่มีช่วงที่หายสนิทเลย
2.ปวดจนสะดุ้งตื่น ขึ้นมากลางดึก หลังจากที่หลับไปแล้ว
3.มีอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย เช่นชักเกร็งกระตุก คลื่นไส้ มีอาเจียนพุ่ง หนังตาตก แขนขาอ่อนแรงหรือชาเป็นต้น
4.มีไข้
5.มีอุบัติเหตุกระทบกระแทกศรีษะ
5.มีโรคประจำตัวบางอย่างเช่น มะเร็งชนิดต่างๆ โรคเลือด โรคติดเชื้อ HIV เป็นต้น
สำหรับคนไข้ โรคที่นึกถึง มีสองอย่างค่ะ ได้แก่ 1) tension headache อาการอย่างที่กล่าวไปแล้ว และ 2) อาการกล้ามเนื้อหดเกร็งค่ะ คือ กล้ามเนื้อส่วนท้ายทอย และบริเวณไหล่สองข้าง มักเกิดจากท่าทางการทำงานที่ทำซ้ำๆ เช่น การทำงานออฟฟิซ ทำให้กล้ามเนื้อแข็ง เกร็งท่าเดิมบ่อย จนปวดลามไปที่ศรีษะ การรักษาคือ การใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ และกายภาพบำบัด รวมถึง การปรับท่าทางการทำงานให้ถูกต้องค่ะ อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า โรคปวดศรีษะ มีมากมายหลากหลาย ต้องอาศัยการซักประวัติและการตรวจร่างกายทางระบบระสาทอย่างละเอียดค่ะซึ่งการรักษาก็ขึ้นกับว่าวินิจฉัยเป็นโรคอะไรค่ะ หากไม่แน่ใจว่าอาการที่เป็นนั้นเข้าได้กับอาการที่กล่าวทางด้านต้น แนะนำให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการตรวจและวินิจฉัยที่ถูกต้องค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
อยากทราบว่าตัวดิฉันเองปวดต้นคอไปยังกกหูสองข้างแล้วก็นอนไม่ค่อยหลับแทบจะนอนไม่ได้เลยเกิดมาจากสาเหตุอะไรและต้องรักษาหรือทำยังไงให้หายดีคะทานยาแก้ปวดหัวแล้วก็ไม่หายอ่ะคะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)