ผมมีอาการคันจากนั้นก็มีตุ่มขึ้นมาแต่ผมก้คิดว่า เพราะผมชอบเชดไม่แห้งแล้วใส่กางเกงไปเลย มันคันเป็นบางช่วง ระยะอาการเป็นมาประมาน1เดือนจากความรุ้สึกนะครับ แล้ว หลังจากมีเพศสัมพันธุ์​กับแฟนผมไม่้เคยเปลี่ยนคู่นอนก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เคยเป็นด้วยครับ ผมเป็นอะไรหรอครับ ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ ถ้าคันมาก อาจจะเกิดจากโรค 
1.กลาก ซึ่งเป็นเชื้อรา กลุ่ม dermatophyte ครับ จะมีอาการคัน มีผื่นวงแดง มีขุ่ยๆลอก การรักษาคือ การทายาฆ่าเชื้อราอย่างน้อย 2 อาทิตย์ครับ 
2.เชื้อราพวก candida ซึ่งจะคันมาก มีตุ่มแดงๆขึ้นตามที่ต่างๆ ไม่มีขุ่ย การรักษาคือการทายาแก้เชื้อราอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เช่นกันครับ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นแนะนำให้ลองตรวจกับแพทย์ที่โรงพยาบาลดูครับ

ลักษณะของหูดหงอนไก่ คือ จะเป็น ลักษณะเป็นก้อนๆ คล้ายดอกกระหล่ำ อาจจะคันหรือไม่คันก็ได้ครับ
ซึ่งในกรณีนี้ก็บอกไม่ได้ครับว่าเป็นอะไรแน่ครับ เนื่องจาก มีรายละเอียด ไม่เพียงพอ ครับแนะนำว่าควรไปตรวจที่โรงพยาบาลดีกว่าครับ จะได้ยันยันว่าเป็นอะไรครับ

สวัสดีค่ะ สำหรับอาการคันอวัยวะเพศมีได้จากหลายสาเหตุค่ะ เช่น
-ผื่นคันจากการแพ้สารเคมีจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้ เช่นแพ้สบู่ที่ใช้ล้างซึ่งอาจมีส่วนผสมของน้ำหอมหรือสารเคมีที่ทำให้เกิดอาการระคายเคือง สังเกตว่าช่วงนี้ได้ใช้ผลิตภัณฑ์อะไรใหม่ๆหรือเปล่า จากการระคายเคืองของกางเกงในหรือกางเกงที่สวมใส่ อาจเกิดจากการใส่กางเกงเก่าหรืออับชื้น
-จากการติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือจากเชื้อรา
-อาการคันจากหูดหงอนไก่ซึ่งจะพบรอยโรคเป็นติ่งเนื้อคล้ายดอกกะหล่ำ มีประวัติมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันมาก่อน
-สาเหตุจากอื่นๆ เช่น จากเหาหรือโลน จากความเครียด จากโรคมะเร็ง เป็นต้นค่ะ

กรณีสงสัยจากหูดหงอนไก่ (Condyloma Acuminata) อาการรอยโรคจะมีลักษณะคล้ายหงอนไก่ คือจะเป็นสีชมพูลักษณะขรุขระ อาจมีคันหรือไม่มีก็ได้ ซึ่งเป็นหูดจากเชื้อไวรัส Human papilloma virus (HPV) ที่อวัยวะเพศค่ะ ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ระยะฟักตัวอาจนานหลายเดือนหรือหลายปีได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและรักษาค่ะ
การรักษาหูดหงอนไก่มีหลายวิธีซึ่งขึ้นกับขนาด ตำแหน่ง และจำนวนของหูดค่ะ ได้แก่ การใช้ยาทา เช่น Podofilox gel, Imiquimod cream, Sinecatechin ointment การจี้ไฟฟ้า จี้ด้วยความเย็น การผ่าตัด เป็นต้นค่ะ นอกจากนี้ควรตรวจโรคติดต่อทางเพศโรคอื่นร่วมด้วย เช่น โรคเอดส์ โรคซิฟิลิส โรคไวรัสตับอักเสบ เป็นต้นค่ะ
ยังไงแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและจะได้ทำการรักษานะคะ