ข้อเท็จจริง 5 ข้อเกี่ยวกับการถูกล้อเลียนในมหาวิทยาลัย

สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้เกี่ยวกับการล้อเลียนในมหาวิทยาลัย
เผยแพร่ครั้งแรก 16 มิ.ย. 2017 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
ข้อเท็จจริง 5 ข้อเกี่ยวกับการถูกล้อเลียนในมหาวิทยาลัย

มีหลายคนเชื่อว่าการล้อเลียนนั้นเป็นเรื่องของเด็กและเมื่อพวกเขาเข้าสู่ระดับชั้นมัธยมแล้ว พวกเขาก็จะไม่เจอกับเรื่องเหล่านี้อีก แต่งานวิจัยมากขึ้นที่พบว่าการล้อเลียนนั้นกำลังมีมากขึ้นเรื่อยๆ และสามารถพบได้ในมหาวิทยาลัยหรือแม้กระทั่งในที่ทำงาน

ในความเป็นจริงแล้วการล้อเลียนเป็นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนในทุกช่วงอายุควรเตรียมตัวให้พร้อมที่จะจัดการกับปัญหาดังกล่าว หากคุณเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยหรือเป็นผู้ที่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย นี่เป็นข้อเท็จจริง 5 ข้อเกี่ยวกับการล้อเลียนที่คุณควรรู้

1. การล้อเลียนนั้นไม่ได้หยุดแค่ที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย

แม้ว่าการล้อเลียนจำนวนมากนั้นจะเกิดขึ้นในช่วงที่ศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อเข้าสู่มัธยมศึกษาตอนปลาย แต่มีงานวิจัยชิ้นใหม่ที่ระบุว่าการล้อเลียนนั้นอาจจะไม่เคยมีช่วงที่หายไปเลย ความจริงก็คือหากผู้ที่ล้อเลียนนั้นไม่เคยได้รับการสอนให้รับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง หรือไม่เคยได้รับการอบรมเกี่ยวกับการที่ไปล้อเลียนคนอื่น มันก็จะกลายเป็นรูปแบบของพฤติกรรมของพวกเขา โดยเฉพาะหากนั่นทำให้พวกเขาได้รับผลที่พวกเขาต้องการ

ดังนั้นพ่อแม่ของนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยควรจะต้องพูดคุยถึงปัญหานี้กับลูกของตน เด็กๆ ยังต้องการการสร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง, ทักษะการเข้าสังคมและทักษะอื่น ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถจัดการกับปัญหาเรื่องการล้อเลียนที่พบเจอในมหาวิทยาลัยหรือในที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีความมั่นใจและสามารถดูแลตัวเองได้นั้นก็เหมือนว่าได้รับชัยชนะไปแล้วครึ่งหนึ่งเมื่อพูดถึงการจัดการกับปัญหาเรื่องการล้อเลียน

2. การล้อเลียนทางออนไลน์ในระดับมหาวิทยาลัยนั้นกำลังเพิ่มขึ้น

มีงานวิจัยที่พบว่าการล้อเลียนทางออนไลน์นั้นกำลังเพิ่มขึ้นในระดับมหาวิทยาลัยและการล้อเลียนทางออนไลน์ส่วนมากที่นักศึกษามหาวิทยาลัยพบนั้นมักจะเกี่ยวกับเรื่องของความสัมพันธ์ ตัวอย่างเช่น มีหลาย ๆ ครั้งที่การล้อเลียนทางออนไลน์นั้นเกี่ยวกับเรื่องข่าวลือต่าง ๆ รวมถึงการล้อเลียนทางเพศ มีเด็กหญิงนิสัยไม่ดีหลายคนที่จะมีพฤติกรรมเหล่านี้และใช้มันเพื่อเป็นบันไดในการเข้าสังคมหรือข่มขู่เด็กหญิงคนอื่น

พวกเขาอาจใช้การล้อเลียนทางออนไลน์เพื่อให้ได้เด็กผู้ชายที่พวกเขากำลังสนใจ ในขณะที่เด็กชายอาจใช้การล้อเลียนทางออนไลน์นี้ล้อเลียนเพื่อนผู้ชายคนอื่นและแสดงว่าตนเองนั้นเป็นคนที่เหนือกว่าหรืออาจจะใช้การล้อเลียนออนไลน์นี้เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นหลังจากที่ถูกทิ้ง

3. การล้อเลียนในระดับมหาวิทยาลัยได้กลายเป็นปัญหาที่มีรูปแบบเฉพาะตัว

การล้อเลียนในระดับมหาวิทยาลัยนั้นผู้ที่ถูกล้อเลียนอาจจะต้องเผชิญกับเรื่องดังกล่าวโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวหรือจากเพื่อนที่อยู่ใกล้เคียงไม่เหมือนกับการล้อเลียนในระดับมัธยมศึกษา พวกเขาอาศัยอยู่ในมหาวิทยาลัยที่อยู่ห่างไกลจากบ้าน นอกจากนั้นการพยายามหลีกหนีจากเรื่องที่ถูกร้องเรียนนั้นก็อาจจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากเมื่ออยู่ในระดับมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะหากผู้ที่ล้อเลียนนั้นเป็นเพื่อนร่วมห้องหรือเป็นเพื่อนร่วมหอพัก นักศึกษามหาวิทยาลัยยังอาจจะต้องเจอกับการถูกล้อเลียนโดยกลุ่มชมรมที่ยังสามารถพบได้ในปัจจุบัน กลุ่มชมรมดังกล่าวอาจจะเป็นกลุ่มอะไรก็ได้ตั้งแต่ทีมเล่นกีฬา ไปจนถึงกลุ่มอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัย อย่าลืมพูดคุยกับลูกของคุณเกี่ยวกับอันตรายที่อาจจะการถูกล้อเลียนโดยกลุ่มคนเหล่านี้และวิธีการตอบสนองต่อการล้อเลียน

4. เด็กมหาวิทยาลัยที่ถูกล้อเลียนนั้นมักรู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยกจากคนอื่น

ผลที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากการถูกล้อเลียนนั้นค่อนข้างรุนแรง มีงานวิจัยที่พบว่าเด็กนักเรียนมหาวิทยาลัยจะยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวและแปลกแยกจากคนอื่นโดยเฉพาะหากพวกเขาเรียนได้ไม่ดีในระดับมหาวิทยาลัย เด็กนักเรียนมหาวิทยาลัยทุกคนต้องการการสนับสนุนแต่เด็กที่ถูกล้อเลียนนั้นอาจจะยิ่งต้องการสนับสนุนที่มากขึ้น

หากลูกของคุณกำลังถูกล้อเลียนที่มหาวิทยาลัยคุณควรพยายามลดความรู้สึกโดดเดี่ยวแปลกแยกเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น ไปเยี่ยมพวกเขาให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่งเสริมให้พวกเขาเข้าร่วมกิจกรรมอื่น ๆ ที่อาจจะทำให้เขาเข้ากับคนอื่นได้มากขึ้น และพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญในระดับมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับการหาที่ปรึกษาให้กับลูกของคุณ การมีเพื่อนอย่างน้อย 1 หรือ 2 คนนั้นสามารถช่วยลดความโดดเดี่ยวที่ผู้ถูกล้อเลียนกำลังเผชิญอยู่ได้

5. เด็กนักเรียนมหาวิทยาลัยที่ถูกร้องเรียนนั้นมักจะไม่พูดถึงประสบการณ์ที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่

มีเด็กนักเรียนมหาวิทยาลัยที่ถูกล้อเลียนหลายคนที่ไม่เคยบอกใครเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ มีหลายเหตุผลที่ทำให้พวกเขาไม่บอกใคร ประการแรกก็คือมีหลาย ๆ ครั้งที่ผู้ตกเป็นเหยื่อนั้นได้รับความอับอายเวลาที่พูดถึงสิ่งที่พวกเขาถูกล้อเลียน การพูดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนั้นทำให้พวกเขาต้องพูดถึงรายละเอียดที่น่าอับอายเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิดหรือกำลังทำ นอกจากนั้นเด็กมหาวิทยาลัยอาจรู้สึกได้รับแรงกดดันมากกว่านักเรียนในระดับมัธยมศึกษาเกี่ยวกับการตอบโต้การถูกล้อเลียนด้วยตนเอง เนื่องจากพวกเขามีความคิดว่าพวกเขากำลังโตเป็นผู้ใหญ่และพวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับเรื่องราวเหล่านี้ได้ด้วยตนเองและถึงแม้ว่านี่จะเป็นเรื่องจริงบางส่วน แต่การถูกล้อเลียนนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมักต้องการความช่วยเหลือ พ่อแม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้โดยเฉพาะหากการล้อเลียนนั้นเป็นพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย


2 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
5 Facts About Bullying in College. Verywell Family. (https://www.verywellfamily.com/facts-about-college-bullying-460487)
Bullying Facts, Statistics, Prevention & Effects. MedicineNet. (https://www.medicinenet.com/bullying/article.htm)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)