สมัยนี้เสื้อผ้าแฟชั่นสำหรับเด็กในช่วงอายุ 1-3 ขวบปีนั้นมีมากมาย ไม่ว่าผู้ใหญ่จะมีชุดหรู สวยงามแค่ไหน ตอนนี้แฟชั่นเหล่านั้นก็ถูกออกแบบมาให้สำหรับเจ้าตัวเล็กของเราด้วยเช่นกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เวลาคุณพ่อคุณแม่ที่เพิ่งจะมีลูกคนแรกนั้นเวลาไปเดินตามห้างสรรพสินค้าจะเห็นแผนกเสื้อผ้าเด็กนั้น มีเสื้อผ้าที่ออกแบบแฟชั่นหลากหลายและดูสวย หล่อ เท่ห์ ไม่แพ้แฟชั่นของผู้ใหญ่เลยทีเดียว แต่ก่อนที่เราจะเลือกซื้อเสื้อผ้าให้เด็กเล็ก โดยเฉพาะเมื่อลูกของเรานั้นอยู่ในช่วงปฐมวัยคือ 1-3 ขวบปีแรกด้วยนั้น เราควรคำนึงถึง 3 ประเด็นหลักก่อนที่จะควักเงินออกจากกระเป๋า ซึ่งหลายครอบครัวมักจะลืมประเด็นเหล่านี้เสมอ
1. เลือกเสื้อผ้าเด็กที่สามารถใส่ได้หลากหลายโอกาส
เสื้อผ้าเด็กบางชุดนั้น ถูกออกแบบมาด้วยแฟชั่นที่เหมาะกับการพาออกงาน เช่น เสื้อสูท ชุดราตรี ชุดนางฟ้า ฯลฯ ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่ที่จะซื้อชุดแนวนี้ให้ลูก ต้องจำให้ขึ้นใจว่า เด็กในวัยนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายมาก มีการยืด ขยาย ร่างกายได้รวดเร็ว ดังนั้นหากมั่นใจว่าเสื้อผ้าที่ซื้อไปนั้น เราสามารถให้ลูกใส่ได้ทุกโอกาส ทั้งใส่ลำลองอยู่บ้าน หรือออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้านในวันธรรมดา หรือจะออกไปงานกับพ่อแม่ก็ได้เช่นกัน แบบนี้ก็จะคุ้มค่ากว่าที่จะซื้อชุดที่ดูหรูหรา แต่ใส่เดินเล่นนอกบ้านแล้วดูแปลกๆ หรือถ้าใครจะให้ลูกใส่ชุดสูท ทักสิโด หรือชุดนางฟ้าไปเดินเล่นสนามหน้าบ้านทุกวัน หรือสัปดาห์ละครั้งได้ อันนี้ก็โอเค ไม่ว่ากัน แต่หลายครอบครัวไม่เป็นอย่างนั้น เพราะบางครั้งจะให้ลูกใส่เสื้อผ้าเด็กชุดหล่อๆ สวยๆ อยู่บ้านเฉยๆ ก็ไม่กล้า สุดท้ายลูกโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ชุดหล่อชุดสวยที่เคยซื้อไว้ ลูกใส่ได้แค่ไม่กี่ครั้งก็ต้องยกให้ลูกคนอื่น
ในทางกลับกัน หากคุณพ่อคุณแม่ที่เลือกเสื้อผ้าแนวกลางๆ สามารถนำมาสับเปลี่ยนกับชุดอื่นๆ ได้ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของเสื้อผ้า แบบนี้ก็จะทำให้คุ้มค่าและสามารถจับเจ้าตัวเล็กมาแต่งตัวได้หลายแนว หล่อ เท่ห์ ได้ทุกวัน คุ้มค่ากับค่าเสื้อผ้าแน่นอน
2. เลือกผ้าฝ้าย (Cotton) เป็นผ้าหลักของเสื้อผ้าเด็ก
เมืองไทยเป็นเมืองร้อน เสื้อผ้าเด็กส่วนใหญ่จะทำมาจากผ้าฝ้าย (Cotton) อยู่แล้ว แต่เสื้อผ้าเด็กบางชนิดก็ทำมาจากผ้าฝ้ายผสมบ้าง ผ้าอื่นที่ไม่ใช่ผ้าฝ้ายบ้าง เหตุที่แนะนำให้ใช้ผ้าฝ้ายนั้น เนื่องจากว่า เด็กในช่วงอายุ 1-3 ขวบนั้นเขามักจะไม่ชอบอยู่เฉย รักการเล่น ยิ่งวิ่งไปวิ่งมา เหงื่อเต็มตัว แถมยังไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่ระมัดระวังเรื่องความสกปรกต่างๆ อาจจะทำให้เสื้อผ้าเด็กชุดเก่งของเขาเปื้อนเอาง่ายๆ ซึ่งผ้าฝ้ายเมื่อนำมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าเด็กแล้วจะมีคุณสมบัติในการระบายความร้อน และทนทานต่อการซัก (หนักๆ) ได้ดี ปัญหาเรื่องเสื้อหด เสื้อผ้าย้วยเสียทรงไม่ค่อยเกิดขึ้นกับเสื้อผ้าที่ทำมาจากผ้าฝ้าย
การระบายความร้อนเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเสื้อผ้าเด็ก โดยเฉพาะในประเทศไทย อากาศกลางวันจะร้อนมาก และยิ่งมีฝนตกด้วย การตากผ้าวันฝนตกถือเป็นเรื่องกลุ้มใจของพ่อแม่เลยทีเดียว หากเสื้อผ้าไม่สามารถระบายความร้อนระบายเหงื่อได้ดี และยังแห้งช้า จะเกิดปัญหาผ้าเหม็นอับ หรือเสื้อผ้ามีกลิ่น ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพของลูกเลย
3. อย่ายึดติดกับแบรนด์เนมในเสื้อผ้าเด็ก
แน่นอนว่าเสื้อผ้าที่มีแบรนด์เนม พ่อแม่หลายคนอาจจะเชื่อว่ามันน่าจะมีคุณภาพดีกว่า ทนทานกว่า โดยอาจจะคิดอ้างอิงจากเสื้อผ้าของผู้ใหญ่ที่เสื้อผ้าแบรนด์เนมมักจะมีคุณภาพความคงทนได้นานกว่าเสื้อผ้าตามตลาดนัดทั่วไป แต่เนื่องจากว่าเสื้อผ้าแบรนด์เนมนั้นโดยเฉพาะเสื้อผ้าเด็กจะมีราคาสูงมาก บางครั้งซื้อเสื้อเด็ก 1 ตัวของแบรนด์เนมในห้าง สามารถซื้อเสื้อผ้าเด็กตามร้านข้างนอกที่ใช้เนื้อผ้าดีๆ ได้ 2-3 ตัวเลยทีเดียว
เนื่องจากเด็กจะมีการขยายตัวเร็วกว่าผู้ใหญ่ การทุ่มทุนซื้อเสื้อผ้าเด็กที่เป็นแบรนด์เนมตัวนึงหลายร้อย หรือหลักพันบาทต่อชิ้นนั้น ดูจะเป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยเหมาะเท่าไร เพราะใส่ได้ไม่กี่ครั้งก็โตจนใส่ไม่ได้ ยิ่งถ้าเป็นชุดแฟชั่นออกงานด้วยยิ่งนานๆ ใส่ที เผลอๆ ซื้อมาได้ใส่จริงไม่ถึง 10 ครั้งก็โตจนใส่เสื้อผ้าไม่ได้แล้ว
ดังนั้นควรจะให้ความสำคัญด้านเนื้อผ้าเป็นอันดับแรก ลำดับต่อมาคือลักษณะการตัดเย็บ และสุดท้ายคือแบบของเสื้อผ้า ส่วนจะมียี่ห้อดังหรือไม่นั้น อันนี้ก็แล้วแต่ความเหมาะสมกับฐานะเงินในกระเป๋าของคุณพ่อคุณแม่
4. แต่งหล่อ แต่งสวย ให้ลูกตอนอยู่บ้านบ้างก็ได้
กรณีที่พ่อแม่หลายคนเก็บเสื้อผ้าเด็กชุดหล่อชุดเก่งให้ลูกไว้ แต่ลืมหรือไม่เคยคิดจะให้ลูกแต่งหล่อแต่งสวยเวลาอยู่บ้านเฉยๆ ก็อาจจะพลาดโอกาสดีๆไป เพราะความจริงแล้วคุณสามารถให้เจ้าตัวเล็กดูหล่อ เท่ห์ สวย แม้จะเป็นวันธรรมดาที่นอนเล่นอยู่บ้านก็ได้ หากสังเกตดูในแต่ละปีนั้นโอกาสที่เราจะพาเจ้าตัวเล็กออกงานจริงๆ นั้นคงมีน้อยมาก
หากอยากได้ความคุ้มค่ากับเสื้อผ้าที่เสียไปแล้ว ก็ควรให้ลูกได้หล่อ ได้สวย แม้วันที่อยู่บ้านบ้างก็ไม่เป็นไร ลูกอาจจะซน เล่น ทำเสื้อผ้าเลอะบ้าง ก็อย่างเพิ่งดุหรือโกรธเขา คิดง่ายๆ ว่าเสื้อผ้าเด็กที่ซื้อมาแล้ว ถ้าเราไม่ให้เขาใส่ ก็คงไม่มีใครได้ใส่ (ยกเว้นจะเก็บส่งต่อเป็นมรกดให้น้อง) ไม่เหมือนเสื้อผ้าผู้ใหญ่ที่ถึงแม้เราจะไม่ใส่ในช่วงนี้ แต่ก็ยังมีโอกาสได้ใส่ออกงานสังคมมากกว่าลูกแน่นอน