จากแผนภาพด้านล่าง จะเห็นว่า หลังการปฏิสนธิในการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ เอ็มบริโอจะเจริญและเพิ่มจำนวนเซลล์ขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ในท่อนำไข่ไปจนถึงผนังมดลูกซึ่งเป็นที่ฝังตัว จนกระทั่งพัฒนากลายเป็นทารกในครรภ์
ตรวจภาวะมีบุตรยากวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 392 บาท ลดสูงสุด 63%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ในระหว่างการทำ IVF จะมีการปรับสภาพห้องปฏิบัติการให้คล้ายกับภายในท่อนำไข่และมดลูก เพื่อให้เอ็มบริโอสามารถเจริญได้เช่นเดียวกับภายในร่างกาย ก่อนที่จะย้ายเอ็มบริโอเข้าสู่มดลูก
การเลี้ยงเอ็มบริโอเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ในอดีต คลินิกต่างๆ สามารถเลี้ยงเอ็มบริโอได้ถึงระยะแรกของการแบ่งตัวเท่านั้น คือประกอบด้วย 5 - 7 เซลล์ ซึ่งก็ได้ผลดีในระดับหนึ่ง แต่ทุกวันนี้คลินิกจำนวนมากสามารถเลี้ยงเอ็มบริโอได้ถึงระยะบลาสโตซิสต์ คือประกอบด้วย 60 - 100 เซลล์ และสามารถแยกเอ็มบริโอได้เป็นส่วนเซลล์ที่อยู่ด้านใน (ซึ่งจะกลายเป็นฟีตัสในอนาคต) และส่วนเปลือกหุ้มด้านนอก (Trophectoderm) ซึ่งจะกลายไปเป็นรก
การเลี้ยงเอ็มบริโอจนถึงระยะบลาสโตซิสต์ ถือเป็นการคัดกรองเอ็มบริโอที่ด้อยคุณภาพออกไปก่อนจะนำเข้าสู่มดลูก เพราะเอ็มบริโอที่สมบูรณ์ แข็งแรง และเจริญได้ดีเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าสู่ระยะบลาสโตซิสต์ได้ ส่วนเอ็มบริโอที่คุณภาพต่ำจะหยุดเจริญภายในจานเพาะเชื้อ
ข้อดีของการเลี้ยงเอ็มบริโอจนถึงระยะบลาสโตซิสต์
ข้อดีของการเลี้ยงเอ็มบริโอจนถึงระยะบลาสโตซิสต์ มีดังนี้
- มีอัตราความสำเร็จสูงกว่า ในการนำเข้าสู่มดลูกแต่ละครั้ง เอ็มบริโอที่เจริญถึงระยะบลาสโตซิสต์ มีโอกาสที่จะนำไปสู่การตั้งครรภ์และคลอดเป็นทารกได้สูงกว่า มีการรวบรวมจากผู้ป่วยกว่า 1,600 คน ในการศึกษา 15 ชิ้น ซึ่งพบว่าการนำเอ็มบริโอระยะบลาสโตซิสต์เข้าสู่มดลูก มีโอกาสคลอดเป็นทารกที่มีชีวิตรอดได้สูงกว่าการใช้เอ็มบริโอในระยะแรกของการแบ่งตัว 1.5 เท่า นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่ใช้เอ็มบริโอระยะบลาสโตซิสต์ยังมีโอกาสเกิดความล้มเหลวในการนำเอ็มบริโอเข้าสู่มดลูกต่ำกว่าด้วย
- ปลอดภัยมากกว่าในการนำเอ็มบริโอเข้าสู่มดลูกเพียง 1 เอ็มบริโอ นอกจากเอ็มบริโอที่ใช้จะมีสภาพสมบูรณ์แข็งแรงแล้ว แพทย์ยังสามารถนำเอ็มบริโอเข้าสู่มดลูกเพียงเอ็มบริโอเดียวได้ในการทำ IVF แต่ละครั้ง และมีโอกาสสำเร็จสูงขึ้นมาก การนำเอ็มบริโอเข้าสู่มดลูกเพียงเอ็มบริโอเดียวจะทำให้โอกาสเกิดครรภ์แฝดลดลง จึงช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดกับแม่และทารกในครรภ์ได้
- ปลอดภัยกว่าสำหรับการตรวจทางพันธุกรรม การเลี้ยงเอ็มบริโอจนถึงระยะบลาสโตซิสต์มีผลดีกับผู้ที่ต้องการตรวจพันธุกรรมในเอ็มบริโอก่อนนำเข้าสู่มดลูก เพราะเอ็มบริโอที่มีจำนวนโครโมโซมผิดปกติ ส่วนมากจะไม่สามารถเจริญไปเป็นทารกและคลอดออกมาอย่างปลอดภัยได้ แต่การนำเซลล์บางส่วนออกมาจากเอ็มบริโอในระยะแรกของการแบ่งตัว จะสร้างความเสียหายต่อเอ็มบริโอได้มากกว่าในระยะบลาสโตซิสต์
- ปลอดภัยกว่าสำหรับการเก็บแช่แข็งและนำมาใช้ใหม่ การเลี้ยงเอ็มบริโอจนถึงระยะบลาสโตซิสต์เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการเก็บเอ็มบริโอแช่แข็งไว้แล้วนำมาใช้ภายหลัง เพื่อทิ้งระยะไว้รอจนฮอร์โมนของผู้หญิงกลับเข้าสู่ภาวะสมดุล เอ็มบริโอก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ในช่วงที่มดลูกมีสภาพเตรียมพร้อมมากที่สุด
กรณีที่ต้องใช้เอ็มบริโอในระยะแรกของการแบ่งเซลล์
มีบางกรณีที่แพทย์ตัดสินใจหยุดการเจริญของเอ็มบริโอภายในจานเพาะเชื้อไว้เพียงระยะแรกของการแบ่งตัว แล้วนำเข้าสู่มดลูกเลย เช่น เจ้าหน้าที่ประจำคลินิกไม่เชี่ยวชาญในการเลี้ยงเอ็มบริโอจนถึงระยะบลาสโตซิสต์ แต่สามารถเลี้ยงเอ็มบริโอถึงระยะแรกของการแบ่งตัวได้
ที่มาของข้อมูล
Growing Embryos To Cleavage or Blastocyst Stage (https://www.fertilityiq.com/courses/ivf-in-vitro-fertilization/cleavage-vs-blastocyst-embryos-day3-day5#embryo-development)