เชื่อหรือไม่ว่ามากกว่า 90% ของคนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดงูสวัด (Shingles) อยู่ในตัว[3] ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้เป็นเชื้อตัวเดียวกันกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส เมื่ออายุมากขึ้น ภูมิคุ้มกันลดลง เชื้อที่ซ่อนอยู่ก็จะทำให้เกิดเป็นโรคงูสวัดขึ้นมา[1]
ถึงอย่างไรก็ตาม โรคนี้ไม่ได้เลือกเฉพาะคนที่สุขภาพอ่อนแอเท่านั้น แต่ผู้สูงอายุที่สุขภาพดีก็เสี่ยงเป็นโรคงูสวัดได้! ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนมาทำความรู้จักเกี่ยวกับโรคงูสวัดให้มากขึ้น พร้อมทั้งแนะนำวิธีป้องกันงูสวัด เพื่อให้ทุกคนปลอดภัยจากโรคร้ายนี้
งูสวัด เกิดจากอะไร?
งูสวัด (Herpes zoster หรือ Shingles) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus - VZV) ซึ่งเป็นไวรัสตัวเดียวกันกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส
เมื่อหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว เชื้อไวรัสชนิดนี้จะยังไม่หายไปจากร่างกาย แต่จะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทของร่างกายในลักษณะสงบ (latent stage)[1]
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีปัจจัยบางอย่างมากระตุ้น เชื้อไวรัสชนิดนี้อาจกลับมาก่อโรคได้อีกครั้งในรูปแบบของงูสวัด ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เชื้อไวรัสถูกกระตุ้น มีดังนี้
- ภูมิคุ้มกันที่ลดลง: พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ 50 ปีขึ้นไป เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันเสื่อมถอยไปตามวัย[1]
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว: เช่น โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ, โรคไต หรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง[2]
- ความเครียดหรือความเหนื่อยล้าเรื้อรัง: ความเครียดจะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้เชื้อไวรัสกลับมาทำงานได้[4]
- การใช้ยากดภูมิคุ้มกัน: ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์, ยาเคมีบำบัด หรือยาที่ใช้ในผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ[2]
- การเจ็บป่วยหรือการติดเชื้อที่รุนแรง: เช่น ไข้หวัดใหญ่หรือโรคติดเชื้ออื่นๆ[2]
ทั้งนี้ โรคงูสวัดไม่สามารถติดต่อได้โดยตรงจากผู้ป่วยงูสวัดไปยังผู้อื่น แต่ผู้ที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อนอาจติดเชื้อไวรัส VZV จากผู้ป่วยงูสวัดและแสดงอาการในรูปแบบของอีสุกอีใสแทนได้[1]
งูสวัดมีอาการเป็นอย่างไร?[1]
งูสวัดหรือโรคงูสวัด มักจะมีอาการที่ค่อนข้างชัดเจนและพัฒนาต่อเนื่องตามลำดับ โดยสามารถแบ่งอาการออกเป็นสองช่วงหลักๆ ได้แก่ อาการเริ่มแรกก่อนเกิดผื่น และอาการเมื่อมีผื่นและตุ่มน้ำ
1. โรคงูสวัด อาการเริ่มแรกก่อนเกิดผื่น
อาการงูสวัดเริ่มแรก ส่วนมากมักจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนหรือปวดจี๊ดๆ บริเวณผิวหนังตามแนวเส้นประสาท รวมถึงมีความรู้สึกไวต่อการสัมผัสที่อาจเกิดขึ้นได้ในบางพื้นที่ เช่น ลำตัว, ใบหน้า หรือแขนขา ซึ่งบางรายอาจมีอาการคัน ชา หรือเสียวแปลบๆ บริเวณนั้นร่วมด้วย
นอกจากนี้ ในบางกรณีที่เป็นโรคงูสวัดยังอาจมีไข้อ่อนๆ หรือปวดศีรษะร่วมด้วย ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นประมาณ 1-5 วันก่อนที่ผื่นและตุ่มน้ำจะปรากฏขึ้น
2. โรคงูสวัด อาการเมื่อมีผื่นและตุ่มน้ำ
เมื่อเข้าสู่ระยะที่มีผื่นและตุ่มน้ำ ผู้ป่วยโรคงูสวัดจะมีผื่นแดงขึ้นเป็นแถบตามแนวเส้นประสาท ซึ่งมักจะเกิดขึ้นแค่ด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย
หลังจากนั้นจะมีตุ่มน้ำใสๆ ขึ้นเป็นกลุ่มบนผื่นแดง โดยตุ่มน้ำเหล่านี้อาจทำให้รู้สึกแสบหรือปวดได้ และตุ่มเมื่อแตกออก ก็จะกลายเป็นแผลตื้นๆ ก่อนที่จะตกสะเก็ด ซึ่งในบางกรณี ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดรุนแรงต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าผื่นจะเริ่มแห้งและหายไปแล้ว
ภาวะแทรกซ้อนของโรคงูสวัดในผู้สูงอายุ[1]
งูสวัด นอกจากจะทำให้มีอาการเจ็บปวด มีไข้ หรือมีตุ่มขึ้นตามตัวแล้ว ยังมีอาการแทรกซ้อนอีกมากมายที่เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะงูสวัดในผู้สูงอายุที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและส่งผลกระทบกับคุณภาพชีวิต[1] โดยภาวะแทรกซ้อนของโรคงูสวัดในผู้สูงอายุ มีดังนี้
1. ปวดปลายประสาทเรื้อรัง (Postherpetic Neuralgia)
ปวดปลายประสาทเรื้อรัง เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุดในผู้สูงอายุ โดยผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนในบริเวณที่เคยมีผื่น ถึงแม้ว่าผื่นจะหายไปแล้วก็ตาม ซึ่งความปวดนี้อาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันและเกิดขึ้นได้ยาวนานเป็นเดือนหรือเป็นปี
2. เกิดการอักเสบของเส้นประสาทใบหน้า (Ramsay Hunt Syndrome)
หากงูสวัดขึ้นหน้าอาจทำให้เกิดการอักเสบที่เส้นประสาทบริเวณนี้ได้ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดในหูหรือบริเวณใบหน้า มีอาการหูอื้อ สูญเสียการได้ยิน และบางครั้งอาจมีอาการอัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้า
3. ปัญหาเกี่ยวกับดวงตา (Ophthalmic Complications)
หากงูสวัดขึ้นตาอาจทำให้เกิดการอักเสบของกระจกตา (Keratitis) เกิดการอักเสบของเส้นประสาทตา และร้ายแรงไปถึงการสูญเสียการมองเห็นหรือตาบอดได้
4. การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง
เมื่อตุ่มน้ำแตก อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม ทำให้แผลมีการอักเสบ ลุกลาม หรือในบางกรณีอาจนำไปสู่ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดได้
5. ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท
ผู้ป่วยโรคงูสวัดบางราย เชื้อไวรัสอาจส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง เช่น การอักเสบของสมอง (Encephalitis) หรือการอักเสบของไขสันหลัง ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติในการเคลื่อนไหวหรือการรับรู้
6. ปัญหาเกี่ยวกับการได้ยินหรือการทรงตัว
หากงูสวัดเกิดในบริเวณเส้นประสาทที่ควบคุมการได้ยินหรือการทรงตัว อาจทำให้เกิดอาการเวียนหัว สูญเสียการได้ยิน หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว
จะเห็นได้ว่าภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้มีความรุนแรงอย่างมากในผู้สูงอายุวัย 50+ ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงทำให้พลาดโอกาสหลายๆ อย่างในชีวิตไป[1]

วิธีป้องกันงูสวัด ภัยเงียบของผู้สูงอายุ
การป้องกันโรคงูสวัดเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูง การดูแลสุขภาพจะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคและลดความรุนแรงของอาการได้ โดยวิธีป้องกันงูสวัด มีดังนี้
- ดูแลระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง: ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก, ผลไม้สด, โปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ และธัญพืช รวมถึงควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงการทำงานหนักเกินไป
- ลดความเครียด: ความเครียดเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นให้เชื้อไวรัสที่ซ่อนตัวอยู่กลับมาทำงานอีกครั้ง ดังนั้นการทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด เช่น การทำสมาธิ, เล่นโยคะ หรือการใช้เวลาพักผ่อนในสิ่งแวดล้อมที่สงบ จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้
- ป้องกันการติดเชื้อและดูแลสุขอนามัย: ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่มีตุ่มน้ำจากงูสวัดหรืออีสุกอีใส เพราะไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่กระจายผ่านทางการสัมผัสน้ำในตุ่มได้ นอกจากนี้ก็ควรล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
- ปรึกษาแพทย์เมื่อมีประวัติสุขภาพที่เสี่ยง: หากมีโรคประจำตัวหรือกำลังรับยากดภูมิคุ้มกันอยู่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการป้องกันที่เหมาะสม
- รับวัคซีนงูสวัด: วัคซีนป้องกันโรคงูสวัดเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคและลดความรุนแรงของโรคได้ โดยปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดอยู่ 2 ชนิด ได้แก่
- วัคซีนที่มีสารเพิ่มภูมิคุ้มกัน (ชนิดไม่ใช่เชื้อเป็น) เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมีความเสี่ยงเป็นโรคงูสวัด
- ชนิดเชื้อเป็น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป[5]
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะป้องกันด้วยวิธีใดก็ตาม ก็ต้องมีการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงร่วมด้วย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปซึ่งมีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มอื่นๆ
ก่อนที่จะตัดสินใจรับวัคซีนงูสวัด ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์ เช่น แพทย์, เภสัชกร และพยาบาลถึงการป้องกันงูสวัด การรักษา หรือขอคำแนะนำเกี่ยวกับวัคซีน ซึ่งเป็นทางเลือกในการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและลดความรุนแรงของอาการงูสวัด
คำถามที่พบบ่อย
1. งูสวัดหายเองได้ไหม?
อาการงูสวัดสามารถดีขึ้นได้เองภายใน 2-4 สัปดาห์ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การปล่อยให้เกิดโรคไปโดยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น อาการปวดปลายประสาทเรื้อรัง ที่ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนยาวนานแม้ว่าผื่นจะหายแล้ว[1]
2. งูสวัดเป็นซ้ำได้ไหม?
ส่วนใหญ่งูสวัดมักจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวในชีวิต แต่ก็มีบางกรณีที่สามารถเป็นซ้ำได้ โดยมีสาเหตุมาจากการที่เชื้อไวรัสวาริเซลลา ซอสเตอร์ (VZV) ที่ซ่อนตัวอยู่ในปมประสาทถูกกระตุ้นให้กลับมาทำงานเมื่อภูมิคุ้มกันลดลง[1]
ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสในการเป็นซ้ำ ได้แก่ ภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอจากโรคเรื้อรัง, การรับยากดภูมิคุ้มกัน, อายุที่มากขึ้น, ความเครียดเรื้อรัง [1],[2],[4]
3. เคยเป็นงูสวัดแล้ว ฉีดวัคซีนป้องกันงูสวัดได้ไหม?
ผู้ที่เคยเป็นงูสวัดแล้วยังสามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดได้อยู่ ซึ่งวัคซีนจะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคซ้ำและลดความรุนแรงหากเกิดขึ้นอีก
แต่ทั้งนี้ ควรรอให้ร่างกายฟื้นตัวจากโรคงูสวัดก่อนอย่างน้อย 6 เดือนก่อนรับวัคซีน รวมถึงควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์ เช่น แพทย์, เภสัชกร และพยาบาล เพื่อวางแผนการฉีดวัคซีนงูสวัดที่เหมาะสม[5]
4. งูสวัดพันรอบตัวจะทำให้เสียชีวิตจริงไหม?
ความเชื่อที่ว่า “โรคงูสวัดพันรอบตัวจะทำให้เสียชีวิต” เป็นความเชื่อที่ผิด ถึงแม้ว่างูสวัดจะเป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการรุนแรงได้ในบางกรณี เช่น การอักเสบของสมองหรือปอด, การติดเชื้อรุนแรง หรือการปวดปลายประสาทเรื้อรัง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือคนที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
แต่อาการเหล่านี้ก็ไม่ได้เกิดจากการที่งูสวัดพันรอบตัวโดยตรง และปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานที่แสดงว่างูสวัดพันรอบตัวแล้วจะทำให้เสียชีวิต[1]
เอกสารอ้างอิง
1. Harpaz, R. (2008). MMWR. Recommendations and reports, 57(RR-5), 1–CE4.
2. Marra, F. (2020). OFID, 7(1), ofaa005. https://doi.org/10.1093/ofid/ofaa005
3. Migasena, S. (1997). IJID, 2, 26-30
4. Schmidt, SA. (2021). BJD, 185(1), 130–138
5. IDAT. (2023). Recommended Adult and Elderly Immunization Schedule, 1-37.