ร่างกายของเราทุกคนย่อมเคยได้รับบาดแผลกันมาหลากหลายรูปแบบ โดยอาจมาจากการประสบอุบัติเหตุ หรือมาจากวิธีรักษาพยาบาลบางอย่างที่ทำให้ร่างกายต้องมีบาดแผลติดตัวด้วย
แต่หลายคนคงไม่รู้ว่า แล้วบาดแผลมีกี่ประเภท แต่ละประเภทมีวิธีรักษา และดูแลอย่างไร
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ความหมายของบาดแผล
บาดแผล (Wound) หมายถึง ภาวะที่เนื้อเยื่อของร่างกายเกิดการฉีกขาด หรือได้รับบาดเจ็บ (Trauma) โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดบาดแผลมีมากมาย เช่น ถูกของมีคมบาด ถูกของแข็ง หรือของหนักเสียดสี กระแทก ถูกของร้อน หรือของเย็นจัด เนื้อเยื่อไปสัมผัสสารเคมี หรือรังสีที่เป็นอันตราย
ประเภทของบาดแผล
บาดแผลสามารถจำแนกได้จากทั้งสาเหตุที่ทำให้เกิด จากการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ รวมถึงลักษณะบาดแผลที่แตกต่างกันไปดังต่อไปนี้
- แผลฟกช้ำ (Bruise or Contused wound) เป็นบาดแผลที่เกิดจากการกระแทก หกล้ม หรือถูกชกต่อยอย่างแรง จนเส้นเลือดใต้ผิวหนังฉีกขาด และผิวหนังจะกลายเป็นสีช้ำ หรือห้อเลือด เป็นลักษณะบาดแผลที่ไม่มีรอยกรีด หรือฉีกขาด แต่จะมีอาการเจ็บ หรือปวดอยู่ใต้ผิวหนัง
แผลฟกช้ำสามารถเรียกได้อีกแบบว่า “แผลปิด (Closed wound)” เพราะเนื้อเยื่อไม่ได้ฉีกขาดเปิดออก นอกจากนี้แผลปิดยังสามารถรวมไปถึงแผลกระดูกหัก หรืออวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บด้วย เพราะเป็นการบาดเจ็บภายใน ไม่ได้เห็นชัดเจนจากภายนอกผิวหนัง - แผลจากการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป (Strain) เป็นแผลที่เกิดจากการบิดยืด หรือใช้กล้ามเนื้อมากเกินกำลัง เป็นบาดแผลที่สามารถรักษาได้จากการนวด ทำกายภาพบำบัด การประคบร้อน
- แผลฉีกขาดของกล้ามเนื้อ (Sprain) เป็นแผลที่ไม่มีการฉีกขาดของชั้นเนื้อเยื่อ แต่เกิดจากการฉีกขาดของชั้นกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่อ มักมีอาการบวม หรือช้ำรวมด้วย แต่จะไม่มีเลือดไหลออกมาภายนอก
บาดแผลชนิดนี้มักมาจากอุบัติเหตุจากการออกกำลังกาย หรือการถูกกระแทกจนชั้นกล้ามเนื้อและข้อต่อหมุน หรือบิดผิดรูป - แผลถลอก (Abrasion wound) เป็นลักษณะแผลที่เกิดจากหนังกำพร้าหลุดลอกออกไป โดยอาจเกิดจากถูกของมีคม หรือของแหลมมากระทบ หรือข่วน หรืออาจเกิดจากผิวหนังไปกระแทก เสียดสีกับพื้นผิวที่หยาบ
- แผลเปิด (Open wound) เป็นบาดแผลที่เกิดจากเนื้อเยื่อซึ่งห่อหุ้มร่างกายฉีกขาดจนเห็นชั้นเนื้อเยื่อด้านใน มีเลือดออก ส่วนความลึกของแผลชนิดนี้แตกต่างกันไปตามสาเหตุที่ทำให้เกิด เช่น จากการถูกแทง ถูกของมีคมตัดบาดอย่างแรง บางกรณีอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้อวัยวะใต้ผิวหนังส่วนนั้นๆ เสียหายได้ด้วย
- แผลถูกตัด หรือแผลขอบเรียบ (Cut or Incised wound) เป็นบาดแผลที่มักเกิดจากของมีคมบาดผิวหนัง เช่น มีด กรรไกร เศษแก้ว กระจก
ลักษณะบาดแผลจะมีขอบเรียบ ไม่มีรอยช้ำ แต่จะรู้สึกเจ็บจากเนื้อเยื่อที่ฉีกขาด และความลึกของแผลจะขึ้นอยู่กับความคม และความรุนแรงขณะของมีคมบาดผิว - แผลถูกแทง (Stab wound) เป็นแผลที่เกิดจากถูกของมีคมทิ่มแทงลงไปใต้ผิวหนัง เช่น มีด ไม้ปลายแหลม เหล็กแหลม เข็ม เป็นแผลที่ควรได้รับการปฐมพยาบาลโดยด่วน เพราะอาจส่งผลให้อวัยวะภายในบริเวณแผลดังกล่าวได้รับบาดเจ็บไปด้วยและอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ยังอาจมีเลือดออกจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม แผลนี้ก็อาจเกิดจากการรักษาจากแพทย์โดยใช้เข็มเจาะตรวจ หรือเข็มฉีดยาก็ได้
- แผลถูกตัดขาด (Amputation wound) เป็นแผลที่ร่างกายถูกของมีคมตัด หรือถูกแรงบิด กระชาก ดึงอย่างแรงจนอวัยวะหลุด หรือถูกตัดขาดออกไป และมีเลือดออกจำนวนมาก
- แผลจากการถูกระเบิด (Blast injury) เป็นแผลที่พบได้จากเหตุจลาจล หรือในสงคราม อุบัติเหตุร้ายแรงบางอย่าง เพราะมักมีสาเหตุหลักมาจากการถูกแรงระเบิด ประทัด ดินระเบิด ทำให้เนื่อเยื่อฉีกขาดและช้ำจนเป็นแผลขนาดใหญ่ หรืออาจเป็นแผลลึกไปถึงชั้นกระดูก และมีเลือดออกจำนวนมาก
- แผลกระดูกหัก (Fracture) เกิดได้กับกระดูกทุกส่วนของร่างกาย แต่มักเกิดบริเวณกระดูกแขน กระดูกขา สาเหตุที่ทำให้เกิดมักมาจากอุบัติเหตุ การตกจากที่สูง การถูกกระแทกอย่างแรง และการถูกทำร้ายร่างกาย
- แผลจากความเย็น หรือความร้อนจัด (Burn or Frosbites) เช่น น้ำร้อนลวก การสัมผัสถ้วย หรือหม้อใส่น้ำแกง เตาแก๊ส รวมไปถึงสารเคมี พลังงานรังสี กระแสไฟฟ้า
วิธีปฐมพยาบาลเมื่อเกิดแผล
กระบวนการรักษาแผลเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูตนเอง และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา ได้แก่
- ห้ามเลือด (Hemostasis) เพื่อไม่ให้ร่างกายเสียเลือดไปมากกว่านี้ โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับบาดแผลขนาดใหญ่ ปากแผลลึก เส้นเลือด และอวัยวะภายในได้รับความเสียหาย เพราะหากเลือดออกไม่หยุด หรือเสียเลือดมากๆ อาจทำให้เกิดอาการตกเลือด ช็อค และเสียชีวิตได้ในที่สุด
- ทำความสะอาดแผล (Cleansing) เพื่อป้องกันการอักเสบ และติดเชื้อ นอกจากนี้การทำความสะอาดแผลยังช่วยลดอาการเจ็บปวดได้อีกด้วย
หลังจากทำความสะอาดแผลแล้ว ให้ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทารอบแผลประมาณ 2 นิ้วเป็นวงกว้าง แล้วปิดด้วยผ้าก๊อซเพื่อป้องกันเชื้อโรค หากแผลอยู่บริเวณศีรษะ หรือบริเวณที่มีขน อาจต้องโกนเส้นผม หรือเส้นขนรอบๆ ออก เพื่อให้ง่ายต่อการทำความสะอาดแผล และลดโอกาสการสะสมของเชื้อแบคทีเรียรอบๆ แผล - สำรวจภายในบาดแผล (Wound exploration) โดยสำรวจด้วยตาเปล่าว่า ภายในบาดแผลมีสิ่งแปลกปลอม เช่น เศษไม้ เศษกระจก เศษโลหะ หรือเศษดิน อยู่ข้างในหรือไม่ แต่หากไม่มั่นใจ ให้นำตัวผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจดูทางรังสีอย่างละเอียด
วิธีสำรวจภายในบาดแผลไม่ควรมีการแคะ แกะ หรือเอานิ้วล้วงเข้าไปในแผลโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ยิ่งได้รับบาดเจ็บ และเกิดการติดเชื้อได้ - การตัดเนื้อตาย และนำสิ่งแปลกปลอมออกจากแผล (Debridement) เพราะหากมีสิ่งเหล่านี้อยู่ จะทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อ และทำให้แผลอักเสบรุนแรงขึ้นอีก โดยแพทย์จะหลีกเลี่ยงการตัดเนื้อชิ้นที่ดีออก เพื่อป้องกันไม่ให้แผลมีขนาดใหญ่กว่าเดิม
นอกจากนี้หากพบว่า ขอบบาดแผลมีอาการช้ำมาก แพทย์อาจต้องตัดขอบบาดแผลเข้ามาประมาณ 1-2 มิลลิเมตรก่อนจะเย็บแผล เพื่อป้องกันการเกิดเนื้อเยื่อตายภายหลังอาการฟกช้ำ - เย็บปิดแผล (Wound closed) โดยควรเย็บปิดภายใน 6 ชั่วโมงตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บ แต่หากแผลสกปรกมาก ก็ควรทำความสะอาด และเย็บปิดภายใน 3 ชั่วโมง แต่หากเป็นแผลขนาดเล็ก หรือแผลไม่ได้ลึกจนต้องเย็บ เพียงแค่แปะปลาสเตอร์ธรรมดาปิดแผลก็เพียงพอแล้ว
นอกจากนี้หากผู้มีบาดแผลเปิดยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักก็ควรไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกัน หรือหากได้รับวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักครบ 3 เข็ม แต่เป็นเวลานานมากกว่า 3 ปีแล้ว ก็ควรไปพบแพทย์เช่นกัน เพื่อให้แพทย์พิจารณาฉีดวัคซีนกระตุ้น
ส่วนผู้ที่ได้รับแผลลุกลามไปถึงการบาดเจ็บที่กระดูก ก็ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อขอรับการรักษาเกี่ยวกับกระดูก หรือไขข้อโดยด่วน มิฉะนั้นอาจเกิดอาการแทรกซ้อน และการอักเสบที่ลุกลามไปถึงกระดูกด้านใน และอาจทำให้ต้องเสียอวัยวะได้
ปัจจัยที่ทำให้แผลหายช้า
อย่างไรก็ตาม แผลที่ได้รับการปฐมพยาบาล หรือรักษาแล้วอาจหายช้าลง หรืออักเสบ และติดเชื้อได้ หากผู้ได้รับบาดเจ็บไม่ดูแลรักษาแผลให้ดี โดยปัจจัยที่มักทำให้แผลไม่หายดีอย่างที่ควรจะเป็น ได้แก่
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
- มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในแผล เช่น เศษไม้ เศษดิน เศษกระจก หรือสิ่งสกปรกอื่นๆ ซึ่งจะทำให้เกิดการติดเชื้อ หรืออักเสบได้ และยังส่งผลให้คอลลาเจนใต้ผิวซึ่งทำหน้าที่ฟื้นฟูผิวไม่ให้เป็นแผลเป็นทำงานได้ไม่ดีด้วย
- เลือดไปเลี้ยงแผลไม่ดีพอ ทำให้กระบวนการสมานบาดแผลไม่มีประสิทธิภาพพอ โดยสาเหตุที่เลือดไปเลี้ยงแผลไม่ดีพอนั้น อาจมีสาเหตุมาจากการเย็บแผลแน่นเกินไป แผลถูกกดทับ
- การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้อแบคทีเรียสแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus) ซึ่งมีส่วนทำให้เม็ดเลือดขาวต้องใช้ระยะเวลาในการฆ่าเชื้อโรค และสมานแผลช้ากว่าปกติ
- เนื้อตาย ซึ่งจะทำให้แผลอักเสบเป็นเวลานานกว่าเดิม เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดขาวต้องไปทำหน้าที่กำจัดเนื้อตายออก และเป็นช่องทางให้เชื้อแบคทีเรียเติบโตมากกว่าเดิม
- การเย็บแผลที่แน่น หรือหลวมเกินไป จนแผลติดแน่นเกินไป หรือหลวมจนขอบแผลแยกออกจากกันอีก ทำให้เลือดต้องไปเลี้ยงแผลใหม่อีกครั้ง
- มีอาการห้อเลือดบริเวณพังผืดกล้ามเนื้อ หรือเนื้อเยื่อใต้แผล ซึ่งเป็นแหล่งอาหารชั้นดีต่อเชื้อแบคทีเรีย และทำให้แผลติดเชื้อได้ ระยะเวลาของการสมานแผลจึงต้องยืดยาวออกไปอีก
วิธีดูแลแผลติดเชื้อ
การดูแลทำความสะอาดแผลไม่ดีพอ จะทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าไปเติบโตในเนื้อเยื่อของแผล จนทำให้กระบวนการสมานแผลทำงานช้าลง และทำให้เนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียงถูกทำลายไปด้วย
ลักษณะแผลที่ติดเชื้อจะมีดังต่อไปนี้
- รู้สึกอุ่น หรือร้อนรอบๆ ตัวแผล
- มีหนอง หรือของเหลวสีเขียว และมีกลิ่นเหม็นไหลออกมาจากแผล
- มีรอยแดงเกิดขึ้นที่ขอบรอบๆ แผล
- รู้สึกเจ็บ และปวดแผลมาก
- บางรายจะคลื่นไส้อาเจียน หรือท้องเสียร่วมด้วย
หากแผลเกิดการติดเชื้อ ควรดูแลแผลตามคำแนะนำต่อไปนี้
- ล้างมือก่อนเริ่มทำความสะอาดแผลและฟอกสบู่ฆ่าเชื้อก่อนด้วย
- เช็ดมือให้แห้งเสียก่อน
- เริ่มล้างแผลด้วยน้ำอุ่นสะอาด และสบู่อ่อนๆ หลีกเลี่ยงการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวลงที่ไปที่แผล หากแผลมีหนองไหลออกมา ให้เช็ดน้ำหนองออกให้หมดด้วย
- ใช้เครื่องมือทำความสะอาดแผลที่มีลักษณะเป็นคีมคีบในการเขี่ย และหยิบสิ่งสกปรกออกไปจากแผล โดยให้ทำอย่างระมัดระวังและนิ่มนวล เพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ไปสัมผัสถูกแผลแรงๆ จนได้รับบาดเจ็บ
- ทายาฆ่าเชื้อในรูปแบบยาทา หรือเจลปิโตรเลียมลงไปที่แผล
- ปล่อยให้แผลแห้งจากอากาศ อย่าปิดแผลให้แผลอับชื้น จนเมื่อแผลแห้งดีแล้ว ให้ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ
วิธีใช้แอลกอฮอล์ล้างแผล
หลายคนคงยังเข้าใจผิดว่า เมื่อเป็นแผลก็ต้องใช้แอลกอฮอล์ล้างแผล เชื้อโรคจะได้ไม่เข้าไปในแผลได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด และการใช้แอลกอฮอล์ยังทำให้รู้สึกแสบร้อนบริเวณแผลเป็นอย่างมากด้วย
วิธีใช้แอลกอฮอล์ที่ถูกต้องคือ ต้องทารอบๆ แผล ไม่ใช่ทาลงไปที่แผล โดยสาเหตุที่ต้องทาแอลกอฮอล์รอบๆ แผลนั้น ก็เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่อยู่รอบๆ แผลให้หมดไปต่างหาก การล้างแผลที่เหมาะสมควรใช้น้ำเกลือ หรือน้ำต้มสะอาดเท่านั้น
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์
หากดูแลบาดแผลตามคำแนะนำแล้ว แต่บาดแผลยังไม่ดีขึ้น ร่วมกับมีอาการต่อไปนี้ ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อให้ตรวจสอบว่า บาดแผลดังกล่าวมีการลุกลาม อักเสบ หรือติดเชื้อไปในระดับใด เช่น
โปรแกรมตรวจสุขภาพวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 99 บาท ลดสูงสุด 96%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
- แผลขยายใหญ่ และลึกกว่าเดิม
- แผลเปลี่ยนเป็นสีแดง หรือมีลักษณะคล้ายผื่นขึ้นรอบๆ แผล
- ขอบแผลยังมีเนื้อเยื่อเปื่อยยุ่ยอยู่
- มีหนอง หรือน้ำสีเขียวไหลออกมาแม้จะทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอแล้วก็ตาม
- ยังคงมีสิ่งแปลกปลอม หรือสิ่งที่เป็นตัวต้นเหตุทำให้เกิดแผลติดอยู่ข้างในแผล
- มีไข้สูงแม้ไม่ได้ป่วย
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
หากไม่รีบทำการรักษา จากแผลบาดเจ็บธรรมดาก็อาจลุกลามกลายเป็นอาการแทรกซ้อนต่อไปนี้ได้ เช่น
- เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis) ซึ่งเป็นผลจากการติดเชื้อใต้ผิวหนัง
- ภาวะกระดูกอักเสบ (Osteomyelitis) ซึ่งเป็นผลมาจากการติดเชื้อที่ชั้นผิวหนัง แล้วลุกลามลงไปถึงชั้นกระดูก
- ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ซึ่งเป็นผลมาจากการติดเชื้อของแผล และภูมิต้านทานของร่างกายไม่สามารถทำงานเพื่อกำจัดเชื้อโรค หรือเชื้อแบคทีเรียได้ดีพอ จึงทำให้เชื้อแบคทีเรียไหลเข้าสู่กระแสเลือดด้วย
- โรคเนื้อเน่า (Necrotizing fasciitis) เป็นภาวะที่เชื้อแบคทีเรียเข้าไปกัดกินผิวหนัง และกล้ามเนื้อบริเวณที่มีแผล จนทำให้เกิดอาการเจ็บปวดมากขึ้น
- แผลเป็น ( Scar ) การหายของบาดแผลโดยธรรมชาติ หรือด้วยการรักษาจากแพทย์ก็ตาม จะเกิดร่องรอยทิ้งไว้ คือ แผลเป็น ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในบาดแผลทุกชนิด แผลเป็นจะเกิดขึ้นมากน้อยเท่าใดขึ้นกับ สาเหตุต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการสร้างคอลลาเจนทั้งในระยะงอdขยายและระยะปรับตัว
แผลอาจเป็นอาการบาดเจ็บที่หลายคนมองว่า เป็นเรื่องเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจรักษามากมายก็หายได้ แต่เพราะการขาดความใส่ใจนี้ จึงทำให้หลายคนมีแผลเป็นติดอยู่กับตัว รวมถึงเกิดอาการแทรกซ้อนซึ่งเป็นอาการที่ลุกลามมาจากแผลบาดเจ็บเล็กๆ มากมาย
แม้ว่าปัจจุบันจะมีนวัตกรรมเลเซอร์แก้ไขปัญหารอยแผลเป็น การฉีดยาแผลเป็นคีลอยด์ ให้บริการแล้ว แต่ผลลัพธ์ก็ขึ้นอยู่กับขนาด และความลึกของแผลเป็นด้วยเช่นกัน
แผลเป็นบางแผลอาจใช้เวลารักษาไม่นาน ผิวหนังบริเวณนั้นก็หายเป็นปกติ แต่แผลเป็นบางแผลอาจไม่หายไปทั้งหมด แต่ยังมีร่องรอยหลงเหลืออยู่บ้างก็มี
ดังนั้นเมื่อได้รับบาดแผลไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร ทุกคนควรใส่ใจที่จะทำความสะอาด และดูแลแผลให้หายดีโดยเร็ว หรือหากไม่มั่นใจว่า ตนเองควรดูแลแผลอย่างไร ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อขอรับการรักษาแผลให้ และการดูแลแผลอย่างเหมาะสมต่อไป
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจสุขภาพทั่วไป จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android