ที่ผ่านมา การคุมกำเนิดดูเหมือนจะตกเป็นภาระของผู้หญิงเสียส่วนใหญ่ เห็นได้จากวิธีคุมกำเนิดของผู้หญิงที่มีให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานยาคุมกำเนิดแบบเม็ด การแปะแผ่นยาคุมกำเนิด การฝังยาคุมกำเนิด และการฉีดยาคุมกำเนิด ส่วนในผู้ชายมีเพียงการใส่ถุงยางอนามัยเพียงอย่างเดียว และไม่ใช่ทุกคนที่จะให้ความร่วมมือ
แต่เมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคม 2019 สถาบัน Los Angeles Biomedical Research Institute และ Univesity of Washington ได้เปิดเผยผลการวิจัยยาคุมกำเนิดเพศชาย ที่ได้ทดลองกับมนุษย์ ยาคุมกำเนิดที่ได้นำมาทดลองนี้มีลักษณะเป็นแคปซูล ภายในมีสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า 11-Beta-MNTDC ซึ่งมีส่วนผสมของฮอร์โมนสำคัญ 2 ชนิด
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ส่วนผสมของฮอร์โมนสำคัญในยาคุมผู้ชาย
- Progesterone ที่จะไปยับยั้งการผลิต Luteinizing Hormone (LH) และ Follicle-Stimulating Hormone (FSH) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการสร้างอสุจิในเพศชาย
- Androgen เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่เกิดจากปริมาณเทสโทสเตอโรนที่ลดลง
งานวิจัยครั้งนี้ใช้เวลา 30 วัน มีอาสาสมัครเข้าร่วมทดลองทั้งหมด 50 คนซึ่งเป็นผู้ชายอายุระหว่าง 18-50 ปี เมื่อครบระยะเวลาวิจัย ผลปรากฎว่า ผู้ที่ได้รับยาจริงทั้งหมด 40 คนมีปริมาณฮอร์โมน LH และ FSH ลดลง แต่ก็ยังพบผลข้างเคียงเล็กน้อย ได้แก่ อาการอ่อนเพลีย ความต้องการทางเพศลดลง และอวัยวะเพศไม่แข็งตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถพบได้ตามปกติ
จากผลการทดลองครั้งนี้สรุปได้ว่า ยาคุมกำเนิดเพศชายที่มีสาร 11-Beta-MNTDC ปลอดภัยสำหรับใช้ในมนุษย์แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถวางจำหน่ายได้ภายในปีนี้ เนื่องจากระยะเวลาในการวิจัยยังน้อยเกินไปที่จะสังเกตคุณภาพอสุจิ และยังต้องหาปริมาณของตัวยาที่เหมาะสมที่สุด โดยเหล่านักวิจัยคาดว่าระยะเวลาเร็วที่สุดที่จะวางจำหน่ายได้คืออีก 10 ปีข้างหน้า
ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ทีมวิจัยชุดเดียวกันนี้ได้ตีพิมพ์งานวิจัยความปลอดภัยของยาคุมกำเนิดเพศชาย Dimethandrolone Undecanoate (DMAU) ที่ให้ผลใกล้เคียงกับยาคุมกำเนิดในเพศหญิง ลงในวารสาร The Journal of Clinical Endocrinology and Metabolism ยาชนิดนี้ได้รับการวิจัยต่อเนื่องมานานกว่า 10 ปี และยังมีการวิจัยต่อจนถึงปัจจุบัน
เป้าหมายหลักของนักวิจัยคือ การค้นหายาคุมกำเนิดเพศชายที่ให้ประสิทธิภาพดีที่สุด และมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ทั้ง DMAU และ 11-Beta-MNTDC จะได้รับการพัฒนาควบคู่กันต่อไป เพื่อให้สามารถวางจำหน่ายได้ในอนาคต
นอกจากยาคุมกำเนิดแบบรับประทาน ปัจจุบันยังมีการวิจัยเจลคุมกำเนิดในเพศชาย ซึ่งได้ผ่านการทดลองในลิงเป็นที่เรียบร้อย ปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยในมนุษย์ โดยเจลชนิดนี้ประกอบไปด้วยฮอร์โมน 2 ชนิด ได้แก่โพรเจสเตอโรน ที่ไปยับยั้งการสร้างอสุจิ และเทสโทสเตอโรน ที่ช่วยลดผลข้างเคียงจากการทำงานของโพรเจสเตอโรน
ในการใช้งานเจลคุมกำเนิด เพียงแค่ทาเจลประมาณ 1 ช้อนชาลงบนหัวไหล่และแขนด้านบนทุกวัน จะช่วยยับยั้งการสร้างอสุจิได้ประมาณ 48-72 ชั่วโมง ซึ่งขณะนี้ได้มีอาสาสมัครชายหญิงจากทั่วโลก 400 คู่ เข้าร่วมการทดลองนี้อยู่
หากการทดลองทั้ง 3 วิธีนี้ประสบความสำเร็จ ผู้ชายก็จะมีทางเลือกในการคุมกำเนิดมากขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม ทั้งยาเม็ดคุมกำเนิด และเจลคุมกำเนิด สามารถป้องกันเพียงการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ แต่ไม่ได้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้น การสวมถุงยางเมื่อมีเพศสัมพันธ์ก็ยังคงจำเป็นอยู่เช่นเดิม