สถานการณ์ผู้ป่วยโรคไตในประเทศไทย พ.ศ. 2563 พบว่า คนไทยป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง 17.6% ของประชากร หรือประมาณ 8 ล้านคน ป่วยเพิ่มปีละกว่า 7,800 คน มีผู้ผ่าตัดเปลี่ยนไตปีละราว 500 คน จัดว่าโรคไตเป็นโรคเรื้อรังที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก
โรคไต คืออะไร สาเหตุมาจากอะไร วิธีรักษาโรคไตมีอะไรบ้าง วิธีไหนจะดีต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมากที่สุด หาคำตอบได้จากบทความนี้
ปรึกษาเรื่องการผ่าตัดปลูกถ่ายไต
ที่ศูนย์โรคไต รพ. บำรุงราษฎร์ ฟรี!
โรคไต คืออะไร?
ตามปกติแล้ว เมื่ออายุ 30 ปี ไตจะเริ่มเสื่อมหรือค่อยๆ ทำงานลดลงอย่างช้าๆ แต่สำหรับผู้ป่วยบางคนอาจประสบภาวะไตเสื่อมผิดปกติ ดังนี้
- ไตวายเฉียบพลัน หมายถึงไตเสื่อมอย่างรวดเร็วหรือหยุดทำงานทันที หลังจากเป็นแล้วอาจกลับมาเป็นปกติได้ ถ้าได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
- โรคไตเรื้อรัง หมายถึงไตเสื่อมลงช้าๆ อย่างต่อเนื่อง จนเกิดความผิดปกติถาวร สามารถแบ่งย่อยออกเป็น 5 ระยะตามความรุนแรง ระยะแรกหรือที่เรียกว่า “ระยะตรวจพบความผิดปกติของไต” ไตยังคงทำงานได้ แต่จะตรวจพบตะกอนในปัสสาวะ ซึ่งบ่งชี้ถึงการทำงานที่ผิดปกติของไต ระยะรุนแรงที่สุดคือ “ระยะไตวาย”
- โรคไตวายระยะสุดท้าย หมายถึงไตเสื่อมมากจนทำงานได้ไม่ถึง 15% ของไตคนที่มีภาวะสุขภาพปกติ ทำให้ไม่สามารถขจัดของเสียออกจากร่างกาย ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะเสียชีวิตภายในเวลาไม่นาน
ในประเทศไทยมักพบผู้ป่วยโรคไตที่เริ่มจากเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง แล้วไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อเป็นระยะยาวก็เกิดไตวายในที่สุด
นอกจากนี้โรคไตยังอาจมาจากโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ (SLE) โรคเกาต์ นิ่วในไต ไตอักเสบ ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะซ้ำๆ
การรับประทานยาหรือรับสารเคมีบางอย่างก็ส่งผลต่อไตได้เช่นกัน เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาสมุนไพร ยาจีน ซึ่งซื้อรับประทานเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์
3 วิธีบำบัดทดแทนไตในปัจจุบัน
เมื่อไตเสียหายจนไม่สามารถทำหน้าที่กำจัดของเสียและน้ำได้ จึงจำเป็นต้องมีการใช้วิธีทางการแพทย์เข้ามาบำบัดทดแทนไตที่เสื่อมไป
3 วิธีบำบัดทดแทนไตที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่
ปรึกษาเรื่องการผ่าตัดปลูกถ่ายไต
ที่ศูนย์โรคไต รพ. บำรุงราษฎร์ ฟรี!
1. ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม หรือที่เรียกกันว่า “ฟอกไต” หลักๆ แล้วคือการนำเลือดออกจากร่างกาย แล้วให้ไหลผ่านเครื่อง เครื่องนี้จะทำหน้าที่กรองของเสียแทนไต แล้วส่งเลือดดีกลับคืนเข้าสู่ร่างกาย
โดยทั่วไป การฟอกไตจะทำครั้งละ 4-5 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ทำที่โรงพยาบาลหรือศูนย์ไตเทียม
ก่อนฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ผู้ป่วยต้องรับการผ่าตัดเตรียมเส้นเลือดบริเวณแขนหรือคอ เพื่อให้เลือดมีแรงดันมากพอจะไหลเข้าสู่เครื่องไตเทียม
2. ล้างไตทางช่องท้อง
การล้างไตทางช่องท้อง จะใช้วิธีใส่น้ำยาเข้าในช่องท้องผ่านทางสายยาง (ซึ่งถูกผ่าตัดฝังไว้ที่ช่องท้องเลย) จากนั้นทิ้งไว้ระยะเวลาหนึ่ง แล้วค่อยปล่อยออก
วิธีนี้จะใช้เวลาทำครั้งละ 30 นาที เปลี่ยนน้ำยา 4-5 ครั้งต่อวัน ผู้ป่วยสามารถทำได้เองที่บ้านหรือให้คนใกล้ชิดช่วยเหลือ
วิธีนี้มีข้อดีที่ผู้ป่วยไม่ต้องไปโรงพยาบาลบ่อยๆ เพียงพบแพทย์ประมาณ 2-3 เดือนต่อครั้ง
โปรแกรมตรวจคัดกรองความเสี่ยง Stroke รพ. บำรุงราษฎร์
วันนี้ถึง 30 พ.ย. 2563 เพียงใส่ Code "BSTM5000" ลดเลย 5,000 บาท
3. ผ่าตัดปลูกถ่ายไต
ปัจจุบันถือว่าการผ่าตัดปลูกถ่ายไตเป็นวิธีรักษาโรคไตที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยไตวายทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ถ้าการปลูกถ่ายสมบูรณ์เรียบร้อย ไตใหม่จะทำหน้าที่ทดแทนไตเดิมที่เสื่อมไป ไม่ต้องฟอกไตหรือล้างไตอีก เพียงแต่ต้องรับยากดภูมิต้านทานและอยู่ในความดูแลของแพทย์ไปตลอด
การผ่าตัดปลูกถ่ายไตไม่ใช่การนำไตเก่าออกแล้วใส่ไตใหม่แทนที่ แต่เป็นการผ่าตัดนำไตใหม่ที่สุขภาพดีและได้รับการประเมินแล้วว่าสามารถเข้ากันได้ มาวางในอุ้งเชิงกรานแถวๆ ท้องน้อยของผู้ป่วย จากนั้นต่อหลอดเลือดและท่อไตใหม่เข้ากับหลอดเลือดและกระเพาะปัสสาวะของผู้ป่วย ตามลำดับ
การผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง และพักฟื้นประมาณ 1-2 สัปดาห์
ไตที่นำมาปลูกถ่ายจะมาจาก
- ผู้บริจาคที่ยังมีชีวิต เช่น จากญาติของผู้ป่วย ซึ่งผู้ที่บริจาคไตและเหลือไตเพียงข้างเดียวยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ไตอีกข้างทำหน้าที่ได้ตามปกติ
- ผู้บริจาคที่มีภาวะสมองตาย ผู้ป่วยจะได้รับไตนี้ได้จากการลงทะเบียนรอรับจากศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย
ข้อดีของการบำบัดทดแทนไตด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายไต คือ ผู้ป่วยจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี เทียบกับการบำบัดทดแทนไตอีกสองวิธีที่เหลือ ไม่ต้องมีอุปกรณ์ฟอกไตคาไว้ที่ตัวในระยะยาวซึ่งมีความเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อ ไม่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวันนั่งหรือนอนนิ่งๆ สำหรับฟอกไต
หากการผ่าตัดปลูกถ่ายไตสำเร็จดี ผู้ป่วยจะสามารถรับประทานอาหาร ออกกำลังกาย เดินทาง มีครอบครัวได้เหมือนผู้มีสุขภาพดีทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยคนหนึ่งอาจใช้หลายวิธีร่วมกัน ขึ้นอยู่กับระยะของโรคไตที่เป็น รวมถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น โรคแทรกซ้อน อายุผู้ป่วย อวัยวะที่มีผู้บริจาคมา ฯลฯ โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาวิธีรักษาตามความเหมาะสม
ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้จากการปลูกถ่ายไต
แม้ว่าการผ่าตัดปลูกถ่ายไตจะเป็นวิธีบำบัดรักษาไตที่ดีที่สุดอย่างที่กล่าวไปแล้ว แต่ก็เป็นธรรมดาของการผ่าตัด ไม่ว่า ณ บริเวณใด ที่สามารถเกิดอาการแทรกซ้อนได้
อาการแทรกซ้อนจากการปลูกถ่ายไตที่อาจเกิดขึ้น เช่น
- เลือดออก
- ติดเชื้อ
- เส้นเลือดอุดตัน
- ท่อไตรั่วหรือมีการอุดตัน
- ไตใหม่ใช้การไม่ได้ในระยะแรก
ภาวะที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษเมื่อเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ คือ ภาวะร่างกายปฏิเสธอวัยวะใหม่ ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันจะเข้าโจมตีอวัยวะใหม่นั้นเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอม แต่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดได้ด้วยการปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์เจ้าของไข้อย่างเคร่งครัด
ความสำเร็จของการปลูกถ่ายไต ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง?
การปลูกถ่ายไตจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่
- สภาวะร่างกายของผู้ป่วย
- ความรุนแรงของโรคที่เป็นมา
- ภาวะหรือโรคแทรกซ้อน
- ไตที่จะนำมาปลูกถ่าย (ว่ามาจากผู้ที่ยังมีชีวิตหรือเสียชีวิตไปแล้ว)
- ความชำนาญ ประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำการปลูกถ่ายไต ความพร้อมของสถานพยาบาลที่ทำการปลูกถ่ายไต
ปลูกถ่ายไต ที่ไหนดี?
เนื่องจากปัจจุบัน ผู้บริจาคอวัยวะมีจำนวนมากกว่าเมื่อก่อน ทำให้ไม่ต้องรอไตบริจาคนานอย่างที่แล้วมา ประกอบกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ก็ก้าวหน้าขึ้น การปลูกถ่ายไตจึงเป็นวิธีรักษาโรคไตที่ค่อนข้างได้ประสิทธิภาพ
บำรุงราษฎร์ เป็นอีกโรงพยาบาลที่ทำการผ่าตัดปลูกถ่ายไตมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 และยังเป็นโรงพยาบาลสมาชิกสามัญของศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย มีผู้ป่วยรับการปลูกถ่ายไตแล้วกว่าร้อยราย
จากสถิติผู้ป่วยปลูกถ่ายไตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า อัตราการรอดของไตที่ทำการปลูกถ่ายใน 1 ปี สูงถึง 96% 5 ปีอยู่ที่ 83% และ 10 ปีอยู่ที่ 78%
หากคุณหรือคนใกล้ชิดอยู่ระหว่างการรักษาโรคไต ซึ่งต้องรับการบำบัดทดแทนไตด้วยวิธีอื่นอยู่ แต่อยากพิจารณาการผ่าตัดปลูกถ่ายไตเป็นอีกทางเลือก คุณสามารถปรึกษาศูนย์โรคไต โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้ฟรี! เพียงโทร. 08 1834 3439
ส่วนผู้ที่เพิ่งตรวจพบภาวะไตเสื่อมระยะแรก ควรดูแลตัวเองเพื่อชะลอไม่ให้ไตเสื่อมรวดเร็วเกินไป โดยงดรับประทานอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็มจัด เพื่อลดความเสี่ยงความดันโลหิตสูง เบาหวาน ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่กลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน เนื่องจากเป็นสาเหตุให้เชื้อโรคแทรกซึมสู่กระเพาะปัสสาวะได้
ใครที่ไม่เคยตรวจสุขภาพที่มีการตรวจปัสสาวะมาก่อน ควรเริ่มสังเกตตนเอง โดยเฉพาะเมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป อาการที่อาจบ่งชี้ถึงโรคไต ได้แก่ ปัสสาวะขัด ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ ปัสสาวะมีสีเข้มหรือขุ่นผิดปกติ มีอาการบวมหน้า รอบตา หน้าแข้ง หรือหลังเท้า มีอาการปวดหลัง ปวดเอว
หากมีอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะร่วมกับมีภาวะความดันโลหิตสูงหรือเบาหวานอยู่ก่อน ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย หากเป็นโรคไตจริงจะได้รีบรับการรักษาเพื่อชะลอความเสื่อมของไตโดยเร็ว