ว่ากันว่าสำหรับผู้หญิงแล้ว สิ่งที่ทำให้เจ็บปวดมากที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตก็คือ “การคลอด” แต่หลังจากผ่านความเจ็บนั้นได้ ก็จะตามมาด้วยความอิ่มเอมใจที่ได้เห็นหน้าทารกน้อยที่ค่อยๆ เติบโตอยู่ในท้องของเรามาตลอด 9 เดือน
ไม่แปลกที่คุณแม่จำนวนไม่น้อยอาจลังเลว่าควรจะเลือกคลอดธรรมชาติหรือผ่าคลอดดีกว่า ความเสี่ยง ผลระยะยาวของแต่ละวิธีเป็นอย่างไร หรือกังวลว่าหลังคลอดแล้วนานไหมกว่าแผลจะหาย ควรฝากครรภ์หรือทำคลอดที่ไหนดีที่ได้รับการบริการอย่างมีคุณภาพ
HD.co.th รวบรวมเรื่องการคลอด ทั้งคลอดธรรมชาติและผ่าคลอด มาให้ในบทความนี้
คลอดธรรมชาติคืออะไร น่ากลัวจริงหรือ?
การคลอดธรรมชาติคือวิธีการคลอดที่คุณแม่จะเบ่งทารกน้อยออกมาผ่านทางช่องคลอด โดยแพทย์จะกรีดผิวหนังระหว่างช่องคลอดกับทวารหนัก ความยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร เพื่อขยายช่องทางให้ศีรษะทารกสามารถโผล่ออกมาอย่างสะดวก การเบ่งคลอดจะใช้เวลาอยู่ในช่วงประมาณ 30-60 นาที ระยะเวลาพักฟื้นที่โรงพยาบาลมักอยู่ที่ 1-2 วัน ถือเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ณ ปัจจุบัน และแพทย์มักแนะนำให้ใช้วิธีนี้ก่อนวิธีอื่นๆ
สัญญาณบอกว่าถึงเวลาคลอดธรรมชาติแล้ว ได้แก่ เจ็บท้องคลอด (มดลูกบีบแล้วคลายตัวต่อเนื่อง ประมาณ 2-3 ยก) มีมูกออกจากช่องคลอด มีน้ำคร่ำออกมา ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลง
ช่วงมดลูกบีบตัวจะสร้างความเจ็บปวดมาก แต่หลังจากนั้นร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนออกซีโตซินออกมา ช่วยลดความเจ็บปวด และกระตุ้นให้มดลูกบีบตัวแรงขึ้น ทำให้คลอดง่ายขึ้น
ข้อดีของการคลอดธรรมชาติ คือ ความปลอดภัย คลอดวิธีนี้มีความเสี่ยงน้อยกว่าการผ่าคลอดทั้งด้านการเสียเลือดและการติดเชื้อ แผลก็มีขนาดเล็กกว่า ทำให้คุณแม่ฟื้นตัวได้เร็ว และในระยะยาว ปัญหาเรื่องรกติดแน่น รกเกาะต่ำ ก็จะมีน้อยกว่าผ่าคลอดด้วย
นอกจากนี้การคลอดธรรมชาติยังมีผลดีกับทารก คือขณะคลอด ผนังมดลูกคุณแม่จะช่วยรีดน้ำคร่ำออกจากปอดทารกจนหมด ทำให้ปอดขยายตัวได้ดี ไม่มีปัญหาด้านการหายใจ อีกทั้งทารกยังได้รับภูมิต้านทานจากแบคทีเรียโพรไบโอติก เข้าไปช่วยระบบขับถ่าย ทำให้ไม่ประสบปัญหาท้องอืด
อย่างไรก็ตาม บางครั้งการคลอดธรรมชาติด้วยตัวคุณแม่เองอาจไม่สำเร็จ จึงอาจมีตัวช่วยทางการแพทย์อื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
- การเจาะถุงน้ำคร่ำ ซึ่งช่วยลดระยะเวลาการเจ็บครรภ์ แต่ข้อเสียคือจะเพิ่มความเสี่ยงการติดต่อเชื้อบางอย่างจากแม่สู่ลูกได้
- การกระตุ้นให้เจ็บครรภ์คลอด หมายถึงการให้ยาเพื่อกระตุ้นให้มดลูกบีบรัดตัว ร่วมกับทำให้ปากช่องคลอดอ่อนนุ่ม กรณีที่จะใช้วิธีนี้ เช่น ถึงกำหนดคลอดแล้วแต่คุณแม่ยังไม่มีอาการ เด็กทารกในครรภ์ตัวเล็กมาก คุณแม่น้ำเดินก่อนกำหนด คุณแม่มีภาวะความดันโลหิตสูง หรือคุณแม่มีโรคเบาหวาน
- ใช้คีมคีบ ลักษณะเหมือนช้อนขนาดใหญ่ 2 อัน ถูกใส่เข้าไปทางช่องคลอดเพื่อจับที่ศีรษะทารกแล้วนำออกมา
- ใช้เครื่องดูด เป็นเครื่องดูดขนาดเล็กที่จะใช้ดูดศีรษะทารกในครรภ์ เมื่อการคลอดเสร็จสิ้น ศีรษะทารกอาจยังมีรอยช้ำให้เห็น แต่รอยนี้จะหายไปภายใน 48 ชั่วโมง
ข้อเสียของการคลอดธรรมชาติ คือ เจ็บ แต่ปัจจุบันมีการใช้ยาระงับความเจ็บปวดที่ช่วยให้คุณแม่เจ็บปวดน้อยลง โดยอาจเป็นลักษณะยาชาเฉพาะที่แบบฉีด หรือใช้วิธีที่เรียกกันว่า “บล็อกหลัง” วิธีนี้จะทำในขณะที่คุณแม่อยู่ในท่านั่งหรือนอนตะแคง เมื่อยาออกฤทธิ์แล้วจะรู้สึกชาตั้งแต่เอวลงมา แต่ยังรู้สึกตัวตลอดเวลา ได้เห็นวินาทีแรกที่ทารกน้อยออกจากท้อง
ปัจจุบันมีทางเลือกมากขึ้น เช่น คลอดลูกในน้ำ ซึ่งช่วยลดความเจ็บปวดจากการคลอดได้ แต่ในประเทศไทยยังไม่มีโรงพยาบาลที่ให้บริการคลอดในน้ำมากนัก
ข้อเสียอื่นๆ ของการคลอดธรรมชาติ ได้แก่ จะเกิดแผลบริเวณฝีเย็บ ซึ่งบางคนไม่ต้องการ ส่วนข้อเสียระยะยาวคืออาจทำให้เกิดกระบังลมหย่อนได้
การบล็อกหลังมีกี่แบบ ปลอดภัยไหม มีผลกระทบต่อทารกหรือไม่?
การบล็อกหลัง คือ การระงับความรู้สึกผ่านทางช่องไขสันหลัง อาจนำมาใช้ร่วมกับการคลอดธรรมชาติเพื่อลดความเจ็บปวด
การบล็อกหลังแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ แบบ Epidural ที่จะเสียบคาท่อพลาสติกเล็กๆ ไว้บริเวณหลังคุณแม่ แล้วปล่อยยาชาซึ่งจะค่อยๆ ออกฤทธิ์ภายในประมาณ 10-20 นาที ช่วยระงับความเจ็บปวดระหว่างคลอด หากระหว่างคลอดเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือแพทย์พิจารณาแล้วว่าจำเป็นต้องผ่าคลอด ก็สามารถให้ยาระงับความเจ็บปวดที่มีฤทธิ์รุนแรงขึ้นผ่านทางท่อนี้ได้เลย กับอีกแบบคือ แบบ Spinal แพทย์จะใช้เข็มแทงเข้าไปยังหลังส่วนล่างจนถึงช่องไขสันหลังของคุณแม่ แล้วจึงฉีดยาชาเข้าไป เข็มดังกล่าวนี้มีขนาดเล็กกว่าเข็มเปิดเส้นให้น้ำเกลือ ยาที่ให้มักออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วแทบจะในทันที ข้อดีคือใช้ยาปริมาณไม่มาก ข้อเสียคือมีฤทธิ์ค่อนข้างสั้น ทำให้หากการคลอดกินเวลานาน คุณแม่อาจรู้สึกตัวขึ้นได้ขณะการคลอดยังไม่เสร็จสิ้น
การบล็อกหลังเป็นวิธีที่ปลอดภัย ตัวยาไม่มีผลกระทบต่อทารก สำหรับคุณแม่บางคน การบล็อกหลังอาจส่งผลให้การบีบตัวของมดลูกช้าลงในช่วงเวลาสั้นๆ แต่โดยส่วนใหญ่เมื่อได้รับยาชาแล้ว คุณแม่มักรู้สึกผ่อนคลายขึ้น และอัตราการบีบตัวของมดลูกก็ดีขึ้น เมื่อถึงเวลาเบ่งคลอดก็จะมีแรงเบ่งและคลอดได้สบายขึ้น
ผ่าคลอด แผลผ่าเป็นอย่างไร มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?
การผ่าคลอด คือการผ่าตัดเพื่อนำเด็กทารกออกทางหน้าท้อง ตามปกติแพทย์มักใช้วิธีนี้ในกรณีจำเป็น เช่น
- ทารกมีศีรษะใหญ่เกินกว่าจะออกจากช่องคลอดได้ตามปกติ
- ทารกอยู่ในท่าขวางปากมดลูกหรือไม่ได้หันศีรษะลงตามปกติ
- คุณแม่มีภาวะรกเกาะต่ำ
- คุณแม่มีภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด
- คลอดทารกมากกว่า 1 คน
หรือส่วนใหญ่ หากท้องก่อนคุณแม่เคยผ่าคลอดมาแล้ว ท้องถัดมาก็มักได้รับคำแนะนำให้ผ่าคลอดอีก เนื่องจากเสี่ยงที่มดลูกจะแตกได้หากเบ่งคลอด แต่ก็ใช่ว่าจะคลอดธรรมชาติไม่ได้เลย เพียงแต่ต้องปรึกษาแพทย์ และรับการพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป
การผ่าคลอดจะใช้วิธีระงับความรู้สึกโดยให้ยาสลบ ซึ่งอาจเป็นการฉีดยาสลบเข้าทางหลอดเลือดดำ ร่วมกับให้ยาแก้ปวด ยาดมสลบ ในรูปแบบไอระเหย รวมถึงจะมีการสอดท่อช่วยหายใจทางปากเข้าไปทางหลอดลมเพื่อช่วยหายใจระหว่างผ่าตัด
แนวผ่าคลอดอาจเป็นแนวนอนหรือแนวตั้ง ความยาวประมาณ 4-6 นิ้ว กรีดผ่านชั้นผิวหนัง ไขมัน กล้ามเนื้อ เยื่อหุ้มช่องท้อง เข้าไปจนถึงผนังมดลูกที่ทารกอยู่ ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง หลังผ่าคลอดแล้วมักต้องพักฟื้นประมาณ 2-4 วัน เนื่องจากเป็นการผ่าตัดใหญ่ ในช่วงแรกคุณแม่อาจมีปัญหาในการหายใจลึกๆ บ้าง และจะมีของเหลวไหลจากช่องคลอด ซึ่งช่วงแรกจะเป็นสีแดงก่อน แล้วภายหลังเป็นสีเหลือง อย่างไรก็ตาม ถ้ามีเลือดออกมาก หรือสังเกตว่าของเหลวนั้นมีกลิ่นเหม็น ควรปรึกษาแพทย์ทันที
ด้านแผลผ่าคลอด ตามปกติผิวชั้นนอกสุดจะเริ่มติดกันภายในสัปดาห์แรก จากนั้นจะเห็นเป็นสีแดงอมม่วงอยู่นานประมาณ 6 เดือน แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว เรียบขึ้น บางคนอาจเป็นแผลคีลอยด์หรือแผลเป็นนูนได้แต่โอกาสเกิดน้อย
ข้อดีของการผ่าคลอด คือ คุณแม่จะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดในช่วงผ่าตัดเลย เนื่องจากอยู่ในฤทธิ์ยาสลบ และสามารถเลือกวัน-เวลาคลอดได้ อีกทั้งไม่ต้องมีแผลบริเวณฝีเย็บ
ในด้านข้อเสีย การผ่าคลอดมีความเสี่ยงมากกว่าคลอดธรรมชาติ เช่น ความเสี่ยงจากการเสียเลือด การติดเชื้อ การดมยาสลบ ผ่าตัด เช่น การดมยา บล็อกหลัง เสี่ยงติดเชื้อ เสียเลือดมากกว่าคลอดธรรมชาติ เจ็บแผลคลอดนานกว่า และใช้ระยะเวลาฟื้นตัวนานกว่า อีกทั้งในระยะยาว การผ่าคลอดยังก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะรกเกาะต่ำและรกฝังแน่นได้
ทารกก็อาจได้รับผลกระทบจากยาสลบ แม้ไม่ก่อให้เกิดอันตราย แต่อาจทำให้การติดตามภาวะสุขภาพของทารกทำได้ช้ากว่าทารกที่คลอดธรรมชาติเล็กน้อย
คลอดธรรมชาติ ผ่าคลอด เลือกแบบไหนให้เหมาะกับคุณ?
จะเห็นได้ว่าปัจจุบันหลายโรงพยาบาลจะมีแพ็กเกจคลอดหลากหลายแบบให้เลือก นอกจากเลือกว่าจะคลอดธรรมชาติหรือผ่าคลอดได้แล้ว ยังสามารถเลือกระดับความเป็นส่วนตัวของห้องพัก บริการพิเศษสำหรับคุณแม่และลูกน้อยได้อีก
อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยเป็นสำคัญ คุณแม่ควรปรึกษาคุณหมอจะดีที่สุด เพราะแต่ละคนอาจมีปัจจัยด้านสุขภาพแตกต่างกัน วิธีคลอดที่เหมาะสมจึงแตกต่างกันไปด้วย
คลอดแบบไหนก็มั่นใจ ด้วยแพ็กเกจคลอดคุณภาพจากบำรุงราษฎร์
คุณแม่ที่กำลังหาข้อมูลคลอด ไม่ว่าคลอดธรรมชาติ ผ่าคลอด แล้วยังไม่แน่ใจว่าจะคลอดที่ไหนดี ตอนนี้บำรุงราษฎร์มีแพ็กเกจมัดจำค่าคลอด Happy Childbirth ราคา 50,000 บาท สำหรับจองสิทธิ์แพ็กเกจคลอดคุณภาพในราคาเหมาจ่าย ที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์
4 แพ็กเกจคลอดที่มีให้เลือก ได้แก่
- แพ็กเกจคลอดปกติ (Normal Delivery) ราคา 85,000 บาท
- แพ็กเกจคลอดปกติ โดยฉีดยาชาที่ไขสันหลัง (Normal Delivery with Epidural Block) ราคา 99,000 บาท
- แพ็กเกจผ่าตัดคลอด (Cesarean Section) ราคา 109,000 บาท
- แพ็กเกจผ่าตัดคลอดในครรภ์แฝด (Twin Cesarean Section) ราคา 199,000 บาท
ซื้อแพ็กเกจมัดจำค่าคลอด Happy Childbirth ไว้ เพื่อล็อกราคาแพ็กเกจคลอดตามราคาข้างต้น ได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 สามารถนำเงินมัดจำมาหักลบกับค่าแพ็กเกจคลอดที่แพทย์แนะนำได้เต็มจำนวน หรือหากมีเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้ตามเวลาที่กำหนด ก็สามารถนำวงเงิน 50,000 บาทนี้ ไปใช้ชำระค่าบริการและค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ ในโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้เต็มจำนวนเช่นกัน
แพ็กเกจคลอดของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ครอบคลุมสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น
- การดูแลคุณแม่ในขณะคลอด ในห้องคลอดที่มีความเป็นส่วนตัวเสมือนห้องพักผู้ป่วยใน
- การให้บริการดูแลทารกแรกคลอดโดยกุมารแพทย์ทารกแรกเกิด
- การให้บริการใช้เครื่องปั้มนมเพื่อสนับสนุนการให้นมแม่
- เมนูอาหารพิเศษสําหรับคุณแม่หลังคลอด
- ผ้าคลุมให้นม
- ภาพแรกของลูก ภาพครอบครัวในห้องคลอด และปั๊มรอยเท้าทารก
- ชุดของขวัญสําหรับทารก
- บริการจัดทําสูติบัตร (ภาษาไทย)
- รับสิทธิ์สมาชิก Baby Club โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อรับส่วนลด 10% สําหรับค่ายาผู้ป่วยนอก ค่ายาผู้ป่วยใน และค่าห้องพักผู้ป่วยใน (สิทธิประโยชน์นี้จะสิ้นสุดเมื่อลูกน้อยอายุครบ 12 ปี)
ทำคลอดแบบคุณภาพ พร้อมความสบายกระเป๋ายิ่งขึ้น ด้วยโปรแกรมผ่อนชำระร่วมกับบัตรเครดิตได้สูงสุด 10 เดือน* ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและกดจองแพ็กเกจได้ ที่นี่
สำคัญที่สุดคืออย่าลืมสังเกตอาการต่างๆ ทั้งก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ของตัวเอง เพื่อแจ้งแก่แพทย์อย่างครบถ้วน และไม่ลืมปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงของทั้งคุณแม่และทารก