เคยสงสัยกันไหมว่า ร่างกายของเรามีความพร้อมในการมีบุตรมากน้อยแค่ไหน การทำงานของระบบสืบพันธุ์ปกติดีหรือไม่ เข้าข่ายภาวะมีบุตรยากหรือเปล่า เราจะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนหรือวัยทองเมื่อไหร่ คุณสามารถหาคำตอบเหล่านี้ได้ ถ้าเข้าใจภาวะเจริญพันธุ์ของตัวเองด้วยการตรวจฮอร์โมน
ภาวะเจริญพันธุ์คืออะไร?
ภาวะเจริญพันธุ์ คือภาวะที่สิ่งมีชีวิตสามารถสืบพันธุ์ได้ หรืออธิบายได้ง่ายๆ ว่า ภาวะที่ร่างกายมีความพร้อมในการสืบพันธุ์หรือการมีบุตร
ทั้งนี้ร่างกายของคนจะมีภาวะเจริญพันธุ์ที่แตกต่างกัน สังเกตได้จากเด็กผู้หญิงจะเริ่มมีประจำเดือนที่ไม่พร้อมกัน บางคนประจำเดือนอาจมาเร็ว บางคนประจำเดือนอาจมาช้า หรือผู้หญิงบางคนประจำเดือนมาตรงเวลาทุกเดือน บางคนมาไม่สม่ำเสมอ ความแตกต่างเหล่านี้มีต้นเหตุมาจากหลายปัจจัย โดยหนึ่งในปัจจัยที่สามารถบ่งชี้ภาวะเจริญพันธุ์ของมนุษย์ได้คือ ฮอร์โมนในร่างกาย ดังนั้นการตรวจฮอร์โมน จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เราสามารถประเมินภาวะเจริญพันธุ์ของตนเองได้
ฮอร์โมนใดบ้างที่บ่งชี้ภาวะเจริญพันธุ์?
ฮอร์โมนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับภาวะเจริญพันธุ์ของมนุษย์นั้นมีหลากหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป แต่ชนิดสำคัญที่เป็นตัวบ่งชี้ภาวะเจริญพันธุ์มี 6 ชนิด ได้แก่
1. ฮอร์โมนแอนตี้-มูลเลอเรียน (Anti-Mullerian Hormone: AMH)
เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากไข่ที่กำลังเจริญเติบโตในรังไข่ ดังนั้นฮอร์โมนชนิดนี้จึงเป็นตัวชี้วัดความสามารถของรังไข่ โดยแสดงให้เห็นว่าเรามีจำนวนไข่ตามเกณฑ์อายุหรือไม่ หากมีมากเกินไปก็อาจเสี่ยงต่อโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ แต่ถ้ามีน้อยเกินไปก็อาจส่งผลกระทบต่อรอบเดือน หรือประสบปัญหาเรื่องการมีบุตรยาก
2. ฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญของไข่ (Follicle Stimulating Hormone: FSH)
มีหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตของไข่ และกระตุ้นให้ไข่สุกจนเกิดการตกไข่ หากร่างกายมีระดับฮอร์โมนนี้ไม่สมดุล ไข่อาจไม่ตกและทำให้มีบุตรยากขึ้น นอกจากนี้หากระดับฮอร์โมน FSH สูงกว่าเกณฑ์ อาจบ่งบอกว่า รังไข่ทำงานผิดปกติ และหากฮอร์โมนชนิดนี้เริ่มสูงขึ้นยังอาจบอกได้ว่าคุณใกล้เข้าสู่วัยทอง หรือวัยหมดประจำเดือนแล้วได้ด้วย
3. ฮอร์โมนกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ (Thyroid-Stimulating Hormone, TSH)
ฮอร์โมนชนิดนี้ผลิตในต่อมใต้สมองหรือพิทูอิทารี ทำหน้าที่กระตุ้นการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ หากมีระดับสูงหรือต่ำกว่าปกติอาจสื่อถึงภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ไข่ไม่ตก นำไปสู่ภาวะมีบุตรยาก
4. ฮอร์โมนฟรีไทร็อกซีน (Free Thyroixine, FT4)
ฮอร์โมนชนิดนี้เป็นหนึ่งในฮอร์โมนที่ต่อมไทรอยด์ผลิต ซึ่งทำงานคู่กับฮอร์โมน TSH ในการประเมินสุขภาพไทรอยด์ หากฮอร์โมนชนิดนี้ไม่สมดุล จึงอาจบ่งบอกปัญหาไทรอยด์ และอาจนำไปสู่ปัญหาเรื่องการมีบุตรยากได้เช่นเดียวกัน
5. ฮอร์โมนโปรแลกติน (Prolactin)
เป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการผลิตน้ำนมและหยุดการตกไข่หลังการคลอดบุตร ถ้าไม่ได้กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร แต่มีระดับฮอร์โมนชนิดนี้สูง อาจเข้าไปหยุดยั้งการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนในรังไข่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายหลายระบบ หนึ่งในนั้นคือกระทบต่อความสามารถในการตั้งครรภ์
6. ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone)
มักรู้จักในชื่อฮอร์โมนเพศชาย แต่จริงๆ แล้วผู้หญิงก็มีฮอร์โมนชนิดนี้เช่นกัน โดยช่วยด้านการเจริญเติบโต การทำงานและควบคุมประสิทธิภาพของเนื้อเยื่อ อวัยวะที่เกี่ยวกับการเจริญพันธุ์ต่างๆ ช่วยควบคุมความต้องการทางเพศ เพิ่มความหนาแน่นให้กล้ามเนื้อ ฯลฯ หากมีปริมาณฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนสูงเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือน ผมร่วง เป็นสิว และอาจเป็นสัญญาณของโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบได้ด้วย
จะเห็นได้ว่าฮอร์โมนทั้ง 6 ชนิดไม่ได้บ่งชี้เฉพาะความสามารถในการมีบุตรเท่านั้น แต่ยังเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมเกี่ยวกับสุขภาพโดยรวมของผู้หญิงอีกด้วย หากฮอร์โมนเหล่านี้ไม่สมดุล ก็อาจส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย ทำให้เกิดความเจ็บป่วยได้ ดังนั้นแม้ในผู้ที่ไม่ได้กำลังวางแผนจะมีบุตร ก็สามารถตรวจฮอร์โมนเพื่อประเมินความสมบูรณ์ แข็งแรง ของร่างกายได้เช่นกัน
ตรวจฮอร์โมนที่ไหนดี?
สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนครอบครัว วางแผนเรื่องการมีบุตร กำลังคุมกำเนิด วางแผนเรื่องการฝากไข่ ต้องการทราบระยะเวลาที่เหลืออยู่ก่อนเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน หรือสงสัยว่าตัวเองอาจมีปัญหาเรื่องฮอร์โมนไทรอยด์ ปัญหาเรื่องถุงน้ำในรังไข่ และต้องการเข้ารับการตรวจฮอร์โมน สามารถเข้ารับการตรวจฮอร์โมนที่โรงพยาบาลหรือคลินิกชั้นนำทั่วไป ซึ่งมีค่าใช้จ่ายและการบริการที่แตกต่างกันออกไป หรือใช้ชุดตรวจฮอร์โมนที่บ้าน ซึ่งเข้ามาเป็นอีกทางเลือกให้ทราบข้อมูลฮอร์โมนเบื้องต้น
วิธีตรวจฮอร์โมนทำอย่างไร?
การตรวจฮอร์โมนจะใช้วิธีการเจาะเลือด แล้วส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการ โดยไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืองดอาหารก่อนตรวจ สำหรับผู้ที่ไม่ได้คุมกำเนิดด้วยวิธีที่ใช้ฮอร์โมน เช่น คุมกำเนิดด้วยห่วงอนามัย ถุงยางอนามัย ฯลฯ ช่วงที่เหมาะสมในการตรวจคือ วันที่ 2-4 ของการมีประจำเดือน แต่สำหรับผู้ที่กำลังคุมกำเนิดด้วยวิธีที่ใช้ฮอร์โมน เช่น รับประทานยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว หรือชนิดฮอร์โมนรวม สามารถตรวจในช่วงใดก็ได้ของรอบเดือน โดยช่วงเวลาการตรวจที่เหมาะสมที่สุดคือ ช่วงเช้าหลังจากตื่นนอน เพราะระดับฮออร์โมนในร่างกายมักมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างวัน หากตรวจในช่วงเวลาอื่นๆ อาจทำให้ผลการตรวจคลาดเคลื่อนได้
ทั้งนี้หลังจากเจาะเลือดแล้วจะต้องใช้เวลารอผลตรวจค่อนข้างนาน โรงพยาบาลหรือคลินิกส่วนใหญ่จึงมักทำนัดฟังผลอีกครั้งในวันถัดไป หรือ 1 สัปดาห์หลังจากเจาะเลือด
ชุดตรวจภาวะเจริญพันธุ์ ชุดตรวจฮอร์โมนผู้หญิงด้วยตัวเอง ทางเลือกใหม่ของการตรวจฮอร์โมน
ปัจจุบันการตรวจฮอร์โมนสามารถทำได้สะดวกและง่ายยิ่งขึ้นด้วย ชุดตรวจภาวะเจริญพันธุ์ด้วยตัวเอง ของ Yesmom ที่สามารถตรวจฮอร์โมนทั้ง 6 ชนิดที่บ่งชี้ภาวะเจริญพันธุ์ของคนได้อย่างแม่นยำเทียบเท่ากับการตรวจที่โรงพยาบาลหรือคลินิก ภายในชุดตรวจฮอร์โมนจะประกอบไปด้วยอุปกรณ์การตรวจที่ครบถ้วน ได้แก่
- เข็มเจาะเลือดขนาดเล็ก ชนิดใช้ครั้งเดียว สำหรับเจาะที่ปลายนิ้วเพื่อเก็บตัวอย่างเลือด โดยวิธีการเก็บตัวอย่างเลือดนี้ค่อนข้างง่าย สามารถทำได้ด้วยตัวเอง สะดวก รวมทั้งเจ็บน้อยกว่าการเก็บตัวอย่างเลือดโดยทั่วไป ที่มักใช้เข็มที่มีขนาดใหญ่เจาะทางเส้นเลือด
- กล่องแท่งเก็บเลือด ใช้สำหรับเก็บตัวอย่างเลือด เพื่อส่งตรวจในห้องปฏิบัติการ
- อุปกรณ์ทำความสะอาดแผล ได้แก่ แผ่นแอลกอฮอล์ ผ้าก๊อซ พลาสเตอร์ปิดแผล
- บัตรข้อมูลประจำตัว สำหรับบันทึกข้อมูลส่วนตัวของผู้เข้ารับการตรวจ
- คู่มือวิธีเก็บตัวอย่างเลือดด้วยตัวเอง ซึ่งจะอธิบายขั้นตอนการเก็บตัวอย่างเลือดโดยละเอียด
เมื่อเก็บตัวอย่างเลือดตามขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว จะมีบริการรับกลับเพื่อส่งเข้าห้องปฏิบัติการ ทำการตรวจวิเคราะห์ต่อไป
หลังจากตรวจวิเคราะห์เลือดแล้ว ระบบจะส่งรายงานผลการตรวจทางอีเมล ซึ่งมาพร้อมกับคำอธิบายผลการตรวจโดยละเอียด เพื่อช่วยให้เข้าใจว่าผลตรวจฮอร์โมนแต่ละชนิดมีความหมายว่าอย่างไร และเชื่อมโยงกันอย่างไรบ้าง เพื่อให้ผู้เข้ารับการตรวจสามารถนำผลนี้ไปปรึกษาแพทย์เพื่อการมีบุตรต่อไปในอนาคต
สำหรับการตรวจฮอร์โมนด้วยวิธีนี้ผู้ที่ต้องการตรวจฮอร์โมน ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปโรงพยาบาลหรือคลินิก ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง รวมทั้งยังสามารถจัดสรรเวลาการตรวจที่เหมาะสมกับตัวเองได้ง่ายยิ่งขึ้น
เมื่อได้ผลตรวจแล้ว ควรทำอย่างไรต่อไป?
หลังจากที่ได้รับผลการตรวจแล้ว สำหรับผู้ที่กำลังวางแผนครอบครัว ต้องการมีบุตร หรือต้องการฝากไข่ ฯลฯ สามารถนำผลการตรวจนี้ไปปรึกษาแพทย์เพื่อประกอบการวิเคราะห์และวางแผนอนาคตต่อไปได้
สำหรับผู้ที่ผลการตรวจบ่งชี้ว่ามีสัญญาณความผิดปกติของร่างกาย ควรปรึกษาแพทย์ โดยสามารถนำผลการตรวจไปประกอบการวินิฉัยความผิดปกติ เพื่อรับคำแนะนำในการปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจฮอร์โมนไม่ได้เป็นการวินิจฉัยโรคหรือเป็นตัวชี้วัดภาวะเจริญพันธุ์ทั้งหมดหรือตลอดไป จึงต้องมีการตรวจและติดตามผล ควบคู่กับการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางอย่างสม่ำเสมอ
ผลการตรวจฮอร์โมน นอกจากจะช่วยให้เราสามารถวางแผนครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดความสมบูรณ์แข็งแรงของระบบต่างๆ ในร่างกายอีกด้วย ดังนั้นการทำความเข้าใจภาวะเจริญพันธุ์ด้วยการตรวจฮอร์โมน จึงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนควรให้ความสำคัญ