โรคไข้เลือดออกเป็นโรคแพร่ระบาดในพื้นที่มีสภาพอากาศร้อนชื้น รวมถึงประเทศไทยเราด้วย การติดเชื้อไข้เลือดออกอาจดูไม่รุนแรงกับคนส่วนใหญ่ แต่อาจเป็นอันตรายกับผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นวัยที่มีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ ทำให้เสี่ยงเกิดอาการรุนแรงจากไข้เลือดออกได้ [2],[3]
ทำความรู้จักกับโรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) จากการถูกยุงลายเพศเมียที่มีเชื้อนี้กัด ซึ่งเชื้อไวรัสมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV–1, DENV–2, DENV–3 และ DENV–4 ทุกสายพันธุ์ล้วนก่อโรคไข้เลือดออกได้เหมือนกันหมด [1]
โรคไข้เลือดออกพบได้ตลอดปี แต่มักระบาดในช่วงฤดูฝน เพราะเป็นช่วงที่มีน้ำขัง เหมาะแก่การวางไข่ของยุงลาย ซึ่งยุงลายพาหะหลักของโรคไข้เลือดออกคือ ยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) และยุงลายสวน (Aedes albopictus) ที่มักออกหากินตอนกลางวัน [1]
เมื่อยุงลายไปกัดผู้ป่วยที่มีเชื้อ แล้วรับเอาเชื้อไวรัสเข้ามาฟักตัวในตัวยุง ประมาณ 8–12 วัน หลังจากนั้นยุงลายที่มีเชื้อจะไปกัดคนถัด ๆ ไป ทำให้คนที่ถูกกัดได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะใช้เวลาฟักในคน ประมาณ 3–5 วัน ถึงเริ่มแสดงอาการของโรคออกมา [3]
อาการไข้เลือดออกในผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปมักมีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อน้อยลง เมื่อเกิดการติดเชื้อ อาการมักไม่ชัดเจนเหมือนกับผู้ใหญ่อายุน้อย ส่วนมากจะพบอาการไข้เพียงอย่างเดียว และมากกว่าครึ่งจะมีไข้นานมากกว่า 7 วัน [2]
นอกจากนี้ บางอาการจะพบต่างจากผู้ใหญ่อายุน้อย เช่น อาการปวดกระดูก ปวดเมื่อยตัว ปวดศีรษะ และผื่นจะพบน้อยกว่า แต่จะมีอาการอาเจียน และภาวะเลือดตามอวัยวะบ่อยกว่า ระดับเอ็นไซม์ตับสูงขึ้นมากกว่า ทำให้ผู้สูงอายุอาจเสี่ยงเกิดอาการรุนแรงมากกว่าผู้ใหญ่อายุน้อย [2]
การดำเนินโรคไข้เลือดออกทั่วไป แบ่งได้ 3 ระยะ ดังนี้ [3]
ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง
ผู้ป่วยจะมีไข้สูงลอยเฉียบพลันนาน 2–7 วัน ไข้อาจสูงถึง 40–41 องศาเซลเซียส ใช้ยาลดไข้แล้ว ไข้มักไม่ลง ไม่มีอาการไอหรือน้ำมูก บางคนอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดเมื่อยตัว อาจมีจุดเลือดออกตามแขน ขา ลำตัว [3],[5]
ระยะที่ 2 ระยะช็อกหรือระยะวิกฤต
ไข้เริ่มลดลง อาการทรงตัว ยังคงมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อ่อนเพลีย ผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน อาการจะแย่ลง จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์โดยด่วน เช่น [3]
- เกล็ดเลือดต่ำ ทำให้เลือดออกง่าย เช่น มีรอยจ้ำหรือจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามผิวหนัง เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระปนเลือดหรือเป็นสีดำ [3],[5]
- มีการรั่วของพลาสมาในหลอดเลือดออกมาอยู่ในเนื้อเยื่อ ทำให้ความดันเลือดตกลง หรือเกิดภาวะช็อก ผู้ป่วยจะมีอาการซึม ตัวเย็น มือและเท้าเย็น กระสับกระส่าย เหงื่อออกมาผิดปกติ ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นแผ่วแต่เร็ว และความดันเลือดต่ำ [3],[5]
- การทำงานของอวัยวะสำคัญเสียไป เช่น ตับวาย ไตวาย สมองบวม หรือเกิดการติดเชื้ออื่นแทรกซ้อน [5],[8]
ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว
อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นในช่วง 3–5 วัน ซึมน้อยลง เริ่มรับประทานอาหารได้ ชีพจรและความดันเลือดกลับมาเป็นปกติ มีปัสสาวะออกมากขึ้น แต่อาจมีผื่นตามแขน ขา และตัว ลักษณะเป็นวงสีขาวบนพื้นผิวหนังสีแดง มักมีอาการคัน ซึ่งจะหายได้เองหลังจากนั้น [3],[8],[10]
ถ้าผู้สูงอายุมีไข้สูงเกิน 2 วัน หรือสงสัยว่าเป็นโรคไข้เลือดออก ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุให้แน่ชัด ถ้าต้องการใช้ยาลดไข้ ให้ใช้ยาพาราเซตามอล ห้ามใช้ยาแอสไพริน และยาไอบูโพรเฟน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก [3]
การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกในผู้สูงอายุ
การวินิจฉัยเบื้องต้นจะมีการซักประวัติ สอบถามสภาพแวดล้อมของที่พักอาศัย และอาการ โดยเฉพาะหากมีจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามลำตัว มักจะถูกสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออกไว้ก่อน รวมถึงยังมีการตรวจเลือดอีกหลายรายการ เพื่อยืนยันผลการติดเชื้อ เช่น [6]
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete blood count: CBC)
มักตรวจตั้งแต่วันที่ 3 ของอาการป่วยเป็นต้นไป เพราะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดกว่าวันแรก ๆ โดยจะพบเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดลดลง ถ้ามีการรั่วของพลาสมาด้วย ความเข้มข้นของเลือดเพิ่มขึ้น [3],[8],[10]
การตรวจเลือดหาแอนติเจน, แอนติบอดี (Dengue NS1Ag, IgG, IgM)
เป็นการตรวจหาการติดเชื้อไวรัสเดงกีจากส่วนประกอบของเชื้อไวรัส และภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสที่ร่างกายสร้างขึ้น โดยแอนติเจนชนิด NS1 เป็นโปรตีนที่ไวรัสสร้างขึ้น จะปล่อยออกมาเป็นจำนวนมากหลังการติดเชื้อ [8],[10]
ขณะเดียวกัน ถ้ามีการติดเชื้อ ร่างกายจะสร้างแอนติบอดีชนิด IgG และ IgM ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น เพื่อตอบสนองต่อเชื้อที่เป็นสิ่งแปลกปลอม [8],[10]
แนวทางรักษาโรคไข้เลือดออกในผู้สูงอายุ
โรคไข้เลือดออกยังไม่มียาต้านไวรัสโดยเฉพาะ การรักษาจะเน้นการดูแลตามอาการ เช่น ให้สารน้ำป้องกันภาวะขาดน้ำ ให้ยาลดไข้ถ้ามีไข้สูง หรือการรักษาอื่น ๆ ตามอาการที่พบ [3]
ผู้สูงอายุที่อาการไม่รุนแรงมักจะให้กลับมาพักดูอาการที่บ้าน และค่อยกลับไปตรวจตามนัด โดยมีคำแนะนำในการดูแลอาการ ดังนี้ [3],[5],[8],[10]
- เช็ดตัวลดไข้เป็นระยะ โดยใช้ผ้าชุบน้ำอุณหภูมิปกติบิดหมาด ๆ เช็ดตามใบหน้า ซอกคอ รักแร้ ข้อพับ ขาหนีบ
- รับประทานยาลดไข้ ต้องเป็นยาพาราเซตามอลเท่านั้น ห้ามใช้ยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟนเด็ดขาด และรับประทานตามปริมาณแพทย์แนะนำ เพื่อป้องกันยาอาจเป็นพิษต่อตับ
- พักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว
- ดื่มน้ำมาก ๆ หรือจิบน้ำเกลือแร่ครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อย เพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่ร่างกายเสียไปจากการอาเจียนหรือมีไข้สูง
- รับประทานอาหารอ่อน งดอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสีคล้ายเลือด เพื่อไม่ให้การวินิจฉัยคลาดเคลื่อน
- ถ้ามีอาการรุนแรง พบแพทย์ทันที เช่น อาเจียนมาก ปวดท้องตรงชายโครงขวามาก กดแล้วเจ็บ ตัวเย็น มือเท้าเย็น กระสับกระส่าย ซึมลง หายใจเหนื่อย มีเลือดออก หรือไม่รู้สึกตัว
กรณีที่มีอาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล เพื่อเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะระยะวิกฤตที่เสี่ยงเกิดอาการช็อกได้มาก [5]
ความรุนแรงของโรคไข้เลือดออกในผู้สูงอายุ
โรคไข้เลือดออกเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเสี่ยงที่น่าเป็นห่วง เมื่อเป็นไข้เลือดออกแล้ว อาการจะรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่น เพราะมีภูมิต้านทานต่ำ เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ยิ่งไปรับการรักษาล่าช้า ยิ่งอันตรายมากขึ้น [2]
อีกทั้งผู้สูงอายุส่วนมากมักจะมีโรคประจำตัวร่วมด้วย เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหอบหืด โรคหัวใจ โรคไตวาย และโรคตับชนิดเรื้อรัง เมื่อติดเชื้อแล้ว อาจเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนได้สูง หรืออาการรุนแรงขึ้น [2],[9]

โรคไข้เลือดออกในผู้สูงอายุ กับการติดเชื้อซ้ำ
การติดเชื้อครั้งแรกจะมีอาการไม่รุนแรง บางคนอาจไม่มีอาการ พอหายแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะต่อสายพันธุ์นั้นไปตลอด และสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นในระยะสั้น ๆ ทำให้ผู้สูงอายุป่วยเป็นไข้เลือดออกซ้ำได้หลายครั้ง [4]
กรณีติดเชื้อเป็นครั้งที่สองหรือครั้งถัด ๆ ไปแล้วเป็นคนละสายพันธุ์ ภูมิคุ้มกันเดิมจะไม่ได้มีผลกับสายพันธุ์ใหม่ที่ติด จึงกระตุ้นให้ร่างกายตอบสนองอย่างรุนแรง อาการจะรุนแรงขึ้นกว่าการติดเชื้อครั้งแรก [3],[4]
การป้องกันโรคไข้เลือดออกในผู้สูงอายุ
การป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ดีคือ การป้องกันหรือเลี่ยงไม่ให้ถูกยุงกัดมากที่สุด โดยใช้ยาทากันยุง ใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายมิดชิด ใช้มุ้งกันยุง หรือติดมุ้งลวดป้องกันยุงลายเข้าภายในบ้าน [3],[8]
รวมถึงควรทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทั้งในและนอกบ้าน เช่น ไม่ควรปล่อยให้มีน้ำขังตามภาชนะต่าง ๆ ภาชนะใส่น้ำควรมีฝาปิดให้มิดชิด ถ้าปิดฝาภาชนะไม่ได้สามารถใส่ทรายอะเบท ป้องกันลูกน้ำยุงลาย [8]
นอกจากเลี่ยงไม่ให้ยุงกัดแล้ว ปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก ที่แนะนำให้ฉีดโดยแพทย์เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ การฉีดวัคซีนเป็นอีกหนึ่งทางเลือกป้องกันไข้เลือดออกและช่วยลดความรุนแรงของอาการได้ ในประเทศไทยมีวัคซีนไข้เลือดออกอยู่ 2 ชนิด คือ
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 2 เข็ม [11]
- เหมาะกับคนอายุ 4 ปีขึ้นไป ฉีดได้ทั้งคนที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน ไม่จำเป็นต้องตรวจภูมิคุ้มกันก่อนการรับวัคซีน
- ฉีด 2 เข็ม แต่ละเข็มเว้นระยะฉีดห่างกัน 3 เดือน
วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ชนิด 3 เข็ม [11]
- เหมาะกับคนอายุ 6–45 ปี และเคยเป็นไข้เลือดออกมาแล้ว หากไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน แนะนำให้ตรวจภูมิคุ้มกันก่อนรับวัคซีน
- ฉีด 3 เข็ม แต่ละเข็มเว้นระยะฉีดห่างกัน 6 เดือน
ที่มาของข้อมูล
1. กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข: “ไข้เด็งกี่ ระบาดวิทยา โรคไข้เลือดออกเดงกี”
2. กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข: “แนวทางการวินิจฉัยและการดูแลรักษา ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเดงกีในผู้ใหญ่ พ.ศ. 2563 (บทที่ 8 การติดเชื้อเดงกีในผู้สูงอายุ)”
3. โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์: “โรคไข้เลือดออก ภัยร้ายจากยุงลาย”.
4. คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี: “ไข้เลือดออก ภัยร้ายหน้าฝนจากยุงลาย”.
5. คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล: “ไข้เลือดออก ป้องกันได้….แต่ถ้าเป็นแล้วล่ะ!”
6. โรงพยาบาลพญาไท: “เจาะลึก 2 ชนิดวัคซีนไข้เลือดออกในไทย แบบไหนที่เหมาะกับคุณ ?”.
7. โรงพยาบาลมหาชัย 2: “Uptrend โรคไข้เลือดออก”.
8. โรงพยาบาลรามคำแหง: "โรคไข้เลือดออก โรคระบาดที่เกิดได้จากมุมอับของตัวบ้าน".
9. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์: “โรคไข้เลือดออก”.
10. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์: “คำแนะนำการตรวจทางห้องปฏิบัติการสำหรับโรคไข้เลือดออก”.
11. ตารางการให้วัคซีนในเด็กไทย แนะนำโดย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย 2568
การให้ข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการทดแทนการปรึกษากับผู้ให้บริการทางการแพทย์ โปรดปรึกษาผู้ให้บริการทางการแพทย์ของท่านสำหรับคำแนะนำเพิ่มเติม
C-ANPROM/TH/DENV/0756: APR 2025