ความเชื่อทั่วไปเกี่ยวกับการคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน (Hormonal Birth Control) คือการลดแรงขับทางเพศลงด้วยการลดระดับ Testosterone หรือการหลอกให้ร่างกายคิดว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่ แต่จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย
มีงานวิจัยมากมายที่ดำเนินการเพื่อศึกษาเรื่องเพศสัมพันธ์กับการคุมกำเนิด แต่ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเหล่านี้ก็ยังมีข้อสรุปที่ไม่ตรงกันอยู่บ้าง โดยเฉพาะวิธีการคุมกำเนิดแต่ละวิธีกับแรงขับทางเพศ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- ยาคุมกำเนิดแบบเม็ด
จากการศึกษาในเรื่องผลกระทบของแรงขับทางเพศที่ได้รับผลกระทบจากยาเม็ดคุมกำเนิดยังคงไม่เป็นที่เห็นพ้องกัน โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
จากการศึกษาในปี 2013 ที่ตีพิมพ์ออกมาตั้งแต่ปี 1970 นักวิจัยพบว่าผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้ 6 ใน 10 คนไม่มีความเปลี่ยนแปลงในเรื่องแรงขับทางเพศใดๆ มี 2 จาก 10 คนที่รู้สึกว่าแรงขับทางเพศเพิ่มขึ้น และมีประมาณ 1 ใน 10 คนที่รายงานถึงแรงขับทางเพศที่ลดลง โดยความแตกต่างของสูตรยาและกำหนดวันใช้ยาอาจส่งผลต่อการทำงานทางเพศได้
การทดลองแบบสุ่มในปี 2016 ได้ทำการตรวจสอบว่าคนที่ใช้ยาคุมกำเนิดสูตรหนึ่งมีความแตกต่างจากกลุ่มคนที่ใช้ยาหลอก โดยได้ทำการตรวจสอบ 7 ประเด็นทางเพศ และพบว่ากลุ่มที่ใช้กลุ่มยามักรายงานว่าความปรารถนาทางเพศ ความเร้าอารมณ์ และความพอใจทางเพศลดลง - แหวนและแผ่นแปะคุมกำเนิด
ประโยชน์หนึ่งที่ทั้งยาเม็ดคุมกำเนิด วงแหวนคุมกำเนิด และแผ่นแปะคุมกำเนิดมีเหมือนกัน คือสามารถใช้เพื่อการข้ามประจำเดือนได้อย่างปลอดภัย ผู้ที่ไม่ชอบมีเพศสัมพันธ์ระหว่างมีประจำเดือน สามารถใช้วิธีเหล่านี้เพิ่มจำนวนวันที่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้
จากการศึกษาหนึ่งพบว่าผู้ที่ใช้วงแหวนมักจะมีความชื้นของช่องคลอดมากขึ้น และมักจะมีช่องคลอดแห้งน้อยลง 3 เท่า รวมทั้งมีคะแนนในเรื่องความพอใจทางเพศ และการเข้าถึงจุดสุดยอดสูงขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่ใช้วิธีคุมกำเนิดที่ไม่ใช่ฮอร์โมน - การคุมกำเนิดที่มีเฉพาะ Progestin
ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีแค่ Progestin (Progestin-Only Pills) คือยาที่ประกอบด้วย Progestin เท่านั้น มีฤทธิ์หลักคือการทำให้เมือกในปากมดลูกข้นขึ้น
จากการศึกษาหนึ่งที่ให้ผู้เข้าทดสอบจากสองประเทศ คือสกอตแลนด์ กับฟิลิปปินส์ พบว่า ยาที่มีเฉพาะ Progestin ไม่ส่งผลต่อความสนใจหรือกิจกรรมทางเพศใดๆ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ใช้ยาหลอก แต่เป็นที่น่าสนใจว่า กลุ่มผู้เข้าร่วมทดสอบจากสกอตแลนด์ที่ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดผสม กลับมีความรู้สึกทางลบในเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ แต่ไม่ได้ผลเช่นเดียวกับในกลุ่มคนฟิลิปปินส์ - ยาฉีดคุมกำเนิด
ยาฉีดคุมกำเนิดที่มีเฉพาะ Progestin มักจะต้องทำการฉีดทุกๆ 8 หรือ 12 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับประเภทของยา โดยยาจะออกฤทธิ์ด้วยการกดกระบวนการตกไข่และทำให้เมือกในปากมดลูกข้นขึ้น
ขณะนี้ยังคงมีงานวิจัยเกี่ยวกับผลจากการใช้ยาฉีดคุมกำเนิดกับแรงขับทางเพศอยู่น้อยมาก แต่มีการศึกษาหนึ่งพบว่า หลังจากใช้ยาประเภทนี้หกเดือน ผู้ใช้มีโอกาสที่จะขาดความสนใจทางเพศ ไปประมาณ 2 ถึง 3 เท่า ซึ่งมากกว่าผู้ที่ใช้ห่วงคุมกำเนิด IUD ชนิดทองแดงที่ไม่ได้ประกอบด้วยฮอร์โมน และอีกการศึกษาหนึ่งพบว่าผู้ใช้ประมาณ 1 ใน 10 คนจะมีแรงขับเคลื่อนทางเพศลดลง ระหว่างช่วงที่ 6 เดือนแรกที่ใช้ และมี 2 จาก 15 คนที่หยุดใช้แล้วแต่พบว่ามีแรงขับทางเพศลดลง
ประโยชน์หนึ่งจากการใช้ยาฉีดคุมกำเนิด คือการทำให้การมีเพศสัมพันธุ์สนุกขึ้น เพราะไม่ต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ หากอยู่ในช่วง 8-12 สัปดาห์หลังฉีด - การฝังยาคุมกำเนิด
การคุมกำเนิดแบบฝัง เป็นการใช้อุปกรณ์ที่ประกอบด้วย Progestin เท่านั้น โดยจะทำการฝังบนต้นแขน เพื่อไปกดกระบวนการตกไข่และทำให้เมือกในปากมดลูกข้นขึ้น การฝังนี้จะคงอยู่นานสุด 3 ปี แต่ก็สามารถนำออกจากร่างกายก่อนก็ได้ตามต้องการ
การฝังยาคุมกำเนิดอาจช่วยเพิ่มความสนุกของการมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้น เพราะไม่ต้องมากังวลกับเรื่องของการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ โดยการฝังยาคุมเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพมากสุด คือเพียง 1 จาก 2,000 คนที่ตั้งครรภ์หลังการฝัง 1 ปี จากการศึกษาหนึ่งรายงานว่าผู้ใช้มีความพึงพอใจทางเพศเพิ่มขึ้นหลังผ่านการฝังคุมกำเนิดไป 3 และ 6 เดือน - การใช้ห่วงอนามัย หรือห่วงคุมกำเนิด (IUD)
ห่วงอนามัยมีอยู่สองประเภท คือประเภทฮอร์โมน กับประเภททองแดง โดยห่วงอนามัยชนิดฮอร์โมนจะปล่อย Progestin ออกมาทำให้เมือกในปากมดลูกข้น และในบางกรณีก็ช่วยกดการตกไข่ไว้ ส่วนห่วงอนามัยชนิดทองแดงจะเข้าไปรบกวนการทำงานของอสุจิไม่ให้เกิดการปฏิสนธิได้
อุปกรณ์ทั้งสองประเภทจะถูกสอดอยู่ในมดลูก และสามารถคงอยู่ภายในนั้นได้นาน 3-10 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของอุปกรณ์ ซึ่งผู้ใช้สามารถทำการถอดได้ทุกเวลาเมื่อต้องการจะตั้งครรภ์ หรือไม่ต้องการใช้อีกแล้ว โดยทั่วไปแล้วผู้ใช้ห่วงคุมกำเนิดทั้งสองชนิดได้รายงานว่า การคุมกำเนิดประเภทนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบหรือเพิ่มความพึงพอใจทางเพศมากขึ้น จากการศึกษาหนึ่งพบว่าผู้ที่ใช้ห่วงอนามัย ทั้งสองประเภท 9 ใน 10 คนไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงในเรื่องแรงขับทางเพศ
การใช้ห่วงอนามัย เป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพมากสุด จากการเก็บข้อมูลพบว่า ผู้ใช้ชนิดฮอร์โมนที่ตั้งครรภ์ภายหลังการสอด 1 ปี มีเพียง 1 จาก 500 คน และมีผู้ใช้ชนดทองแดงที่ตั้งครรภ์ภายหลังการสอด 1 ปี มีเพียง 4 จาก 500 คน แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้ IUD ชนิดฮอร์โมน อาจมีอาการผิดปกติในช่วงแรกได้
ควรทำอย่างไร เมื่อการคุมกำเนิดที่เลือกใช้ อาจส่งผลกระทบต่อชีวิต
การเลือกวิธีคุมกำเนิด ไม่ได้เป็นตัวเลือกเดียวที่ส่งผลไปตลอดชีวิต แม้ว่าจะตัดสินใจฝังยาคุมกำเนิดหรือใช้ IUD ไปแล้ว แต่ก็สามารถเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ใช้ได้ทุกเมื่อ แม้จะไม่ถึงวันหมดอายุก็ตาม
ที่มาของข้อมูล
Maegan Boutot, Birth control and sex drive (https://helloclue.com/articles/sex/birth-control-and-sex-drive), 25 มกราคม 2019