อายุ 20 อยากทราบว่าการฉีดยาคุมกับกินอันไหนอันตรายน้อยกว่ากันคะ และอยากจะมีน้องตอนอายุ 23คะ

ยาฉีดคุมกำเนิดและยาเม็ดคุมกำเนิด ต่างก็มี 2 ชนิดค่ะ คือชนิดฮอร์โมนรวม (มีทั้งฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสติน) กับชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยว ผลข้างเคียงเด่น ๆ ของยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมคือปวดศีรษะ, คัดตึงเต้านม และคลื่นไส้อาเจียน ในขณะที่ยาคุมชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยว มีผลข้างเคียงเด่นในเรื่องของเลือดออกกะปริบกะปรอย, ประจำเดือนไม่ปกติ และไม่มีประจำเดือน

อันตรายจากการใช้จะพิจารณาจากข้อมูลทางสุขภาพของผู้ใช้ค่ะ ว่ามีความเสี่ยงหรือข้อจำกัดใด ๆ หรือไม่ แต่โดยทั่วไปแล้ว ยาคุมชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยวจะมีข้อจำกัดการใช้ที่น้อยกว่า และมักจะนำมาใช้กับผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมได้

การคุมกำเนิดแต่ละวิธี จะมีข้อดีข้อเสียต่างกันค่ะ เช่น...

1. ถ้าใช้ยาฉีดคุมกำเนิด ก็จะไม่ต้องบริหารยาบ่อย เพราะมีผลคุมกำเนิดได้นาน 1 เดือนถ้าเป็นยาฉีดชนิดฮอร์โมนรวม หรือ 3 เดือนถ้าเป็นยาฉีดชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินเดี่ยว ซึ่งดีกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดที่ต้องรับประทานทุกวัน (อาจมีเว้นว่าง 6 - 7 วันสำหรับบางยี่ห้อ)

2. ยาฉีดคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพสูงกว่ายาเม็ด โดยผู้ที่ใช้ยาคุมชนิดฉีดมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 0.2 - 6% ในขณะที่ผู้ที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 0.3 - 9%

3. แต่ยาฉีด ไม่สามารถหยุดใช้กลางคันได้เหมือนยาเม็ด เพราะนำออกจากร่างกายไม่ได้เหมือนยาฝังคุมกำเนิด ดังนั้น หากมีผลข้างเคียงจากยาที่ทนไม่ได้ ไม่อยากใช้ต่อ ก็ต้องรอให้หมดฤทธิ์ของยา เมื่อครบกำหนดฉีดยาครั้งต่อไป จึงค่อยเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นแทน ในขณะที่ยาเม็ด หากทนผลข้างเคียงไม่ได้ ก็สามารถหยุดใช้ได้โดยไม่ต้องรอให้หมดแผง

4. เมื่อไม่ต้องการคุมกำเนิดต่อ ผู้ที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด มีโอกาสตั้งครรภ์ได้เร็วกว่าผู้ที่ใช้ยาฉีดคุมกำเนิดค่ะ

เนื่องจากยาคุมแต่ละชนิดมีข้อดีข้อเสียต่างกัน และมีข้อจำกัดการใช้เพื่อความปลอดภัยที่ต่างกัน นอกจากยาเม็ดคุมกำเนิด และยาฉีดคุมกำเนิดแล้ว ก็ยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถคุมกำเนิดแบบชั่วคราวได้ ดังนั้น แนะนำให้ไปพบสูตินรีแพทย์ เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับการเลือกวิธีและชนิดของยาคุมกำเนิดที่เหมาะสมนะคะ