มีเพศสัมพันธ์กับแฟนช่วงระยะไข่ตกพอดี แล้วแฟนไม่ได้ป้องกันเพราะไม่ทราบว่าเป็นวันไข่ตก แต่เสร็จข้างนอก และปกติก็กินยาคุมแบบรายเดือนอยู่แล้ว ตอนที่มีเพศสัมพันธ์กำลังกินยาแผงที่สองได้8เม็ด และกินฉุกเฉินไปอีกในวันต่อมา(ประมาณ28ชม.หลังจากมีเพศสัมพันธุ์) จะท้องไหมคะ(ประจำเดือนเดือนที่แล้ววันที่28มี.ค-1เม.ย) เป็นคนที่ประจำเดือนมาไม่ปกติด้วยค่ะ

หากผู้ถามใช้ยาคุมรายเดือนถูกต้อง, ตรงเวลาสม่ำเสมอ และต่อยาคุมแผงใหม่ตรงตามกำหนด ก็จะมีผลคุมกำเนิดต่อเนื่องจากยาคุมที่ใช้ทุกวันค่ะ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิธีหลั่งนอกและการใช้ยาคุมฉุกเฉินหลายเท่านะคะ

เมื่อมีผลคุมกำเนิดจากยาคุมรายเดือน ผู้ใช้จะมีโอกาสตั้งครรภ์ 0.3 - 9% สามารถมีเพศสัมพันธ์หลั่งในได้เลยค่ะ และไม่จำเป็นจะต้องรับประทานยาคุมฉุกเฉินร่วมด้วย ถ้ารับประทานยาคุมรายเดือนถูกต้องและตรงเวลาสม่ำเสมอ ความเสี่ยงจะค่อนไปทางต่ำ คือ 0.3% ซึ่งถือว่าน้อยมากจนไม่น่าจะกังวลนะคะ

กลไกหลักของยาคุมรายเดือนคือไปยับยั้งไข่ตกค่ะ ผู้ที่ใช้ยาคุมรายเดือนจึงไม่ควรจะมีไข่ตกนะคะ การคำนวณวันไข่ตกที่ผู้ถามใช้ เป็นการใช้ในกรณีที่ไม่ได้ใช้ยาคุมกำเนิดค่ะ

กลไกหลักของยาคือการยับยั้งไข่ตกค่ะ ถ้าไม่มีไข่ตกเลย อสุจิก็ผสมกับไข่ไม่ได้ จึงไม่เกิดการปฏิสนธิและตั้งครรภ์นั่นเอง

โดยปกติผู้ที่รับประทานยาคุมจึงไม่ต้องคำนวณวันไข่ตกค่ะ เพราะมีผลจากฮอร์โมนในยาคุมไปยับยั้งไข่ตกอยู่ จึงไม่ควรจะมีไข่ตกออกมานั่นเอง ซึ่งต่างจากผู้ที่ไม่ได้คุมกำเนิดที่อาจมีไข่ตกได้ในช่วงกึ่งกลางของรอบเดือน

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงกลับพบว่าไม่มีวิธีใดที่จะยับยั้งไข่ตกได้ 100% ค่ะ ทำได้เพียง "ใกล้เคียง 100%" ถ้าใช้ยาคุมถูกต้องและตรงเวลาสม่ำเสมอ

ซึ่งหากมีสาเหตุที่อาจทำให้ฮอร์โมนแปรปรวนหรือมีระดับยาในเลือดลดลง เช่น อาเจียนภายใน 2 ชั่วโมงหลังรับประทาน, อาเจียนหรือถ่ายเหลวอย่างรุนแรงและต่อเนื่องมากกว่า 24 ชั่วโมง, รับประทานไม่ตรงเวลาหรือลืมรับประทานยา, ใช้ร่วมกับยาหรือสมุนไพรบางอย่างที่ลดประสิทธิภาพของยาคุม ก็อาจทำให้ประสิทธิภาพในการยับยั้งไข่ตกลดลง นั่นคือเสี่ยงมากขึ้นที่ไข่จะตกได้

"รับประทานยาคุมรายเดือนก็ท้องได้" เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องแล้วค่ะ เพราะไม่มีวิธีใดที่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% นะคะ การคุมกำเเนิดด้วยวิธีต่าง ๆ ทำได้เพียงลดความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ให้น้อยลงเท่านั้น ซึ่งจะลดได้มากหรือน้อย ก็ขึ้นกับประสิทธิภาพของแต่ละวิธี และขึ้นกับการใช้ว่าถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่ค่ะ

โดยผู้ที่ใช้ยาคุมรายเดือนมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 0.3 - 9% แต่ถ้ารับประทานถูกต้องและตรงเวลาสม่ำเสมอ ความเสี่ยงจะค่อนไปทางต่ำ คือ 0.3% ซึ่งถือว่าน้อยมากจนไม่น่าจะกังวลค่ะ

ดังนั้น เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงสุด ก็ควรรับประทานยาคุมให้ถูกต้องและตรงเวลาสม่ำเสมอ หรือหากมีปัญหาที่อาจลดประสิทธิภาพของยาคุมก็ควรแก้ไขให้เหมาะสมนะคะ

ยังไม่มีข้อมูลที่ชี้ว่ายาสตรีลดประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดค่ะ

อย่างไรก็ตาม การใช้ยาสตรีเพื่อหวังผลให้สารไฟโตเอสโตรเจน (สารคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง) ในยาสตรีมารักษาปัญหาประจำเดือนไม่ปกติ ถือเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นในผู้ที่ใช้ฮอร์โมนคุมกำเนิดค่ะ เพราะถ้ายาคุมที่ผู้ถามใช้เป็นยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม ก็จะมีประจำเดือนมาตามรอบปกติในช่วง "ปลอดฮอร์โมน" ของแผงอยู่แล้ว

นั่นคือ หากใช้ยาคุมแบบ 21 เม็ด เมื่อหมดแผงจะต้องเว้นว่าง 7 วันให้เป็น "ช่วงปลอดฮอร์โมน" ก่อนต่อยาคุมแผงใหม่ ซึ่งประจำเดือนก็จะมาในช่วงนั้น โดยมักจะมาหลังใช้ยาหมดไปแล้ว 2 - 3 วัน หรือคลาดเคลื่อนเล็กน้อย

แต่ถ้าใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมแบบ 28 เม็ด เมื่อหมดแผงแล้วจะต้องต่อแผงใหม่ในวันถัดมา ไม่ต้องเว้นว่างเพิ่มอีก "ช่วงปลอดฮอร์โมน" ก็คือช่วงที่รับประทาน "เม็ดแป้ง" ของแผงนั่นเองค่ะ ประจำเดือนจึงมาในช่วงนี้ โดยมาหลังใช้ "เม็ดยาฮอร์โมน" หมดไปแล้ว 2 - 3 วัน หรือคลาดเคลื่อนเล็กน้อย

และฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพสูงกว่าสารไฟโตเอสโตรเจนในยาสตรีอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้ยาสตรีร่วมด้วยนั่นเองนะคะ

อย่างไรก็ตาม การไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการผิดปกติที่เป็นอยู่ เพื่อพิจารณาการรักษาที่เหมาะสม จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการใช้ยาคุมหรือยาสตรีเองค่ะ