โรคปากนกกระจอกเป็นโรคที่มีแผลบริเวณมุมปากด้านใดด้านหนึ่ง หรือทั้งสองด้าน ส่งผลต่อการพูดคุยและการรับประทานอาหาร แม้ไม่ได้เป็นโรคที่ร้ายแรง แต่ก็สร้างความรำคาญใจให้ผู้ที่เป็นโรค
หลายคนอาจจะคิดว่า โรคปากนกกระจอกเกิดจากการขาดวิตามินเพียงอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วยังมีสาเหตุอื่นอีกด้วย ดังนั้นวิธีดูแลรักษาจึงมีหลายวิธีด้วยเช่นกัน
ตรวจแร่ธาตุวิตามินวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 97 บาท ลดสูงสุด 68%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
สาเหตุของโรคปากนกกระจอกมีอะไรบ้าง?
1. การเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาคพื้นฐานของปากเอง
การเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาคของปาก ส่งผลต่อขอบริมฝีปาก การหลั่งน้ำลายที่เพิ่มขึ้น และการเปื่อยยุ่ยของรอยแยกมุมปาก เหล่านี้ทำให้เกิดเป็นโรคปากนกกระจอกได้
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงกายวิภาคของปาก ได้แก่
- การสูญเสียความยืดหยุ่นทางผิวหนังในผู้สูงอายุ ผู้สูบบุหรี่ และผู้ที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
- ปากที่เล็กและกล้ามเนื้อในช่องปากที่ไม่แข็งแรงจนลิ้นจุกปากออกมา ส่งผลให้ผู้ป่วยกลุ่มอาการดาวน์ (Down Syndrome) ประมาณ 25% มีภาวะปากนกกระจอกร่วมด้วย
- ผู้สูงอายุที่ไม่มีฟัน รูปปากผิดรูป มีการกดทับที่มุมปาก กลายเป็นจุดอับชื้นเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาน้ำลายออกมากกว่าปกติ โดยเฉพาะในคนที่นอนน้ำลายไหลเป็นประจำ หรือคนที่มีน้ำลายเอ่อขณะพูด ก่อให้มุมปากเกิดอาการระคายเคือง
2. โรคผื่นแพ้สารสัมผัส
ปากนกกระจอกอาจเกิดจากการอักเสบของผิวหนังเมื่อสัมผัสสารบางอย่าง โดยเฉพาะนิกเกิล อาหารบางชนิด ยาสีฟันบางชนิด น้ำยาบ้วนปากบางชนิด ลิปสติกบางชนิด หรือแม้กระทั่งหมากฝรั่งบางชนิด
3. การขาดสารอาหารบางชนิด
สารอาหารที่หากร่างกายได้รับน้อยเกินไป จะทำให้เกิดโรคปากนกกระจอกได้ ได้แก่
- วิตามิน B ได้แก่ B12 (Riboflavin) B9 (Folate) และ B12 (Cyanocobalamin)
- แร่ธาตุจำพวกเหล็กและสังกะสี
- โปรตีน
4. โรคปากนกกระจอกที่เป็นอาการแสดงของโรคอื่น
โรคปากนกกระจอก บางครั้งอาจเป็นอาการแสดงทางผิวหนังของโรคอื่นที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะหลายระบบในร่างกาย ได้แก่
- กลุ่มอาการโจเกร็น (Sjogren’s syndrome) ซึ่งเป็นโรคทางระบบภูมิคุ้มกันเรื้อรัง ที่ทำให้ต่อมที่ทำหน้าที่สร้างความชุ่มชื้นให้แก่ตาและปากถูกทำลาย
- กลุ่มโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory bowel disease)
5. การติดเชื้อ
โรคปากนกกระจอกอาจเกิดจากการติดเชื้อ โดยมีปัจจัยเสี่ยงดังนี้
ตรวจแร่ธาตุวิตามินวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 97 บาท ลดสูงสุด 68%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
- ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ในผู้ติดเชื้อ HIV ผู้ที่ใช้ยาพ่นสเตียรอยด์เป็นประจำ มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อราในช่องปาก
- ผู้ที่ใช้ยาฆ่าเชื้อติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จนไปฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่มีอยู่ปกติในช่องปากจนหมด
- ผู้ที่เป็นโรคเหงือก ฟันผุ หรือดูแลรักษาความสะอาดช่องปากได้ไม่ดีพอ
6. ยา สารเคมี รังสี หรือสิ่งแวดล้อม
การใช้ยาต่างๆ เช่น ยารักษาโรคมะเร็ง ยารักษาสิวที่มีส่วนประกอบของวิตามิน A การฉายรังสีเพื่อรักษา เหล่านี้อาจทำให้ปากแห้ง จนก่อให้เกิดโรคปากนกกระจอกตามมาได้
7. พฤติกรรมบางอย่างที่ส่งผลต่อการเปื่อยยุ่ยของร่องมุมปาก
บางครั้งปากนกกระจอกอาจเกิดจากพฤติกรรมของคุณเอง เช่น ชอบเลียริมฝีปากบ่อยๆ (แต่อาจเป็นอาการหนึ่งของโรคเกี่ยวกับความผิดปกติของระบบประสาทก็ได้) ชอบดูดนิ้วหัวแม่มือ หรืออมยิ้ม (ในเด็ก) สูบบุหรี่ การใช้ไหมขัดฟันด้วยความรุนแรง
เป็นโรคปากนกกระจอก ควรกินอะไร ไม่กินอะไร?
หากโรคปากนกกระจอกที่เป็นเกิดจากปัจจัยด้านอาหาร ควรเลือกรับประทานและหลีกเลี่ยงอาหาร ดังนี้
- รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน B ธาตุเหล็ก และสังกะสี รวมถึงโปรตีนให้เพียงพอในแต่ละวัน หรือหากไม่สามารถรับประทานอาหารนั้นๆ ได้ อาจเลือกวิตามินและเกลือแร่เสริม
- หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลต่อการดูดซึมวิตามินและเกลือแร่ โดยเฉพาะ ชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
วิธีการรักษาโรคปากนกกระจอก
- ใช้ยาทาเฉพาะที่ หรือยารับประทาน เพื่อฆ่าเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย เพื่อรักษาโรค หรือเชื้อที่เป็นสาเหตุ
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรม ยา และสารเคมีที่อาจเป็นสาเหตุของโรคปากนกกระจอก
- ดูแลรักษาความสะอาดภายในช่องปาก เช็ดทำความสะอาดมุมปากให้แห้งอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้กลายเป็นจุดอับชื้น
- คนที่มีรูปปากผิดรูป หรือฟันผุ จนเกิดความผิดปกติ เช่น น้ำลายไหลออกมาตลอดเวลา ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป
แผลมุมปากจากโรคปากนกกระจอก ควรทายาอะไร?
- ใช้ขี้ผึ้ง ลิปมัน หรือปิโตรเลียมเจล ทาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บที่มุมปาก และช่วยให้ปากชุ่มชื้นอยู่เสมอ
- ในรายที่ได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นโรคปากนกกระจอกจากเชื้อรา ให้ใช้ยาฆ่าเชื้อรา เช่น คีโตโคนาโซล (Ketoconazole cream) โคทริมาโซล (Clotrimazole cream) ส่วนในเด็ก นิยมใช้ยาม่วง (Gentian violet solution) ทา 2-3 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 2 สัปดาห์
- ในรายที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น มิวพิโรซิน (Mupirocin oitment fusidic acid 2% cream) ทา 4-5 ครั้งต่อวัน เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
- แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นยาเดี่ยว ในรายที่มีการอีกเสบอย่างรุนแรง หรือใช้ร่วมกับยาฆ่าเชื้อรา หรือยาปฏิชีวนะ เพื่อลดการอักเสบ ช่วยให้แผลหายไวขึ้น และลดการกลับมาเป็นซ้ำได้
อย่างไรก็ตาม การซื้อยามาทารักษาโรคปากนกกระจอก ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ หรือได้รับคำแนะนำจากเภสัชกรก่อนทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจวิตามิน จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android