January 02, 2020 02:02
ตอบโดย
ทีมงาน HonestDocs
เราได้รับคำถามของคุณแล้ว รอทีมแพทย์มาตอบคำถามสักครู่นะคะ พูดคุยหรือสอบถามแอดมินได้ทุกวัน ทางไลน์ @honestdocs ค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ตอบโดย
กันตณัฏฐ์
อยู่ตรีรักษ์ (แพทย์ทั่วไป)
(นพ.)
General physician
สวัสดีครับ
การที่ถุงยางอนามัยมีการร่นลงมาในระหง่างที่มีเพศสัมพันธ์อยู่และไม่แน่ใจว่ามีน้ำอสุจิหรือน้ำหล่อลื่นหลุดลอดออกมาด้วยหรือไม่ก็ควรถือว่ามีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์เอาไว้ก่อนครับ และในกรณีนี้ก็ควรหายาคุมฉุกเฉินมารับประทานอีกครั้งภายในเวลาไม่เกิน 120 หลังมีเพศสัมพันธ์โดยยิ่งรับประทานยาคุมฉุกเฉินได้เร็วเท่าไหร่โอกาสตั้งครรภ์ก็จะยิ่งน้อยลงไปเท่านั้นครับ
การรับประทานยาคุมฉุกเฉินนั้นสามารถรับประทานได้ 2 วิธี คือ รับประทานยา 2 เม็ดพร้อมกัน หรือรับประทานยาทละเม็ดห่างกันเม็ดละ 12 ชั่วโมง ซึ่งถ้าหากเชือกที่จะรับประทานแบบทีละเม็ดแล้วหมอก็แนะนำให้รอให้ครบ 12 ชั่วโมงก่อนรับประทานยาคุมฉุกเฉินเม็ดที่ 2 ครับ
การรับประทานยาคุมฉุกเฉิน 2 ครั้งในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันจะไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินลดลง แต่อาจทำให้มีผลที่เกิดจากยาคุมฉุกเฉินได้มากขึ้น เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ คัดตึงเต้านม ตกขาวมากขึ้น อารมณ์แปรปรวน มีเลือดออกกระปริดกระปรอยระหว่างรอบเดือน เป็นต้น
นอกจากนี้หมอก็อยากแนะนำเพิ่มเติมว่าในความเป็นจริงแล้วการมีเพศสัมพันธ์โดยใช้นิ้วสอดใส่นั้นไม่ได้เป็นความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ครับ เนื่องจากต่อให้นิ้วมีน้ำหล่อลื่นของฝ่ายชายติดอยู่ อสุจิที่ปนอยู่ในน้ำหล่อลื่นก็จะมีการเสื่อมสภาพไปในเวลาอันรวดเร็วเมื่อออกมาสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทำให้เป็นไปได้ยากมากที่จะมีอสุจิเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ได้ในกรณีนี้ ถ้าหากมีเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นอีกก็ไม่มีความจำเป็นต้องรับประทานยาคุมฉุกเฉินครับ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ถ้ากินยาคุมฉุกเฉินติดต่อกันแบบนี้ จะทำให้ ปจด มาช้ากว่าปกติมั้ยคะ
ทำเลสิกวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 25,500 บาท ลดสูงสุด 35%!!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
เมื่อวานกินยาคุมฉุกเฉินไว้แล้วตอนประมาณ 18.20 (หลังมีพสพ 25-26 ชม)แล้วกินเม็ดที่ 2 ตอน 06.00 เช้าของวันนี้ รอบเดือนของเดือนที่แล้วมากลางเดือน ดูในปฏิทินรอบเดือนของเดือนนี้คาดว่าจะมาวันที่ 16 แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่ารอบเดือนจะเคลื่อนเร็วกว่าหรือช้ากว่า กรณีที่ได้กล่าวไปจะมีโอกาศตั้งครรภ์กี่%คะ กังวลกลัวรอบเดือนไม่มา
มีอะไรกับแฟนวันอาทิตตอนบ่าย2 แล้วกินยาคุมฉุกเฉินไป 1 เม็ดวันจันทร์ตอน 4-5โมงเย็น แล้วตามด้วยเม็ดที่ 2 ประมาณ ตอน4-5 ทุ่มของวันจันทร์ (เหตุที่กิน แฟนใช้นิ้วสอดใส่ของเราซึ่งลืมไปว่าได้จับน้องชายของตัวเองมาหรือป่าว เผื่อมีน้ำของน้องชายติดมาด้วย) เราไม่แน่ใจเลยกินยาคุมฉุกเฉินไว้ ต่อมา วันอังคารเราได้มีอะไรกันอีกตอน4 โมงเย็นแล้ว แต่พอเริ่มมีอะไรกันได้สักพัก เหมือนถุงยางมันจะหลุดๆ เลยรูดถุงยางใส่ใหม่ แล้วเหมือนกับจะหลุดๆอีกรอบที่ 2 เลยรูดใส่อีก (จะหลุดที่ว่าเหมือนแฟนใส่ถุงยางแล้วถุงยางมันเลื่อนมาครึ่งนึงของน้องชายเขาอ่ะค่ะ) แล้วพอรอบที่2 เหมือนมีน้ำขาวๆติดตรงห่วงยางมาด้วย เลยงงว่าเป็นน้ำของฝ่ายชาย หรือของเรา พอเอานิ้วแตะมาดมดู ก็ได้กลิ้นแต่ของถุงยางสตอเบอร์รี่ หรือว่าเป็นน้ำหล่อลื่นของถุงยาง ยังไม่ทราบเลย -เลยสงสัยว่า ถ้าเกิดมีเพศสัมพันธ์อีกในวัน อังคาร อะไรทำนองนี้ที่ได้กล่าวมา เราต้องกินยาคุมอีกรอบไหม กินยาคุมฉุกเฉินอีก 1 แผง 2 เม็ด -จะมีผลข้างเคียงหรือป่าว และ - ประสิทธิภาพยาจะลดลงไหมเพราะติดต่อกัน -แล้วมีโอกาศท้องมากกว่าปกติดมั้ย หรือ ประสิทธภาพเท่าเดิม เหมือนแผงแรก -แล้วกินยาคุมฉุกเฉินนี้ต้องกินตรงเวลาหรือเปล่า หลังการมีเพศสัมพันธ์ เม็ดแรกกินก่อน 72 ชม จะให้ดีภายใน 24 ชมหลังมาเพศสัมพันธ์กัน เม็ดที่ 2 ควรกินตอนไหนก็ได้ก่อน 12 ชมหลังเม็ดแรก หรือ 12 ชมแล้วค่อยกิน *ขณะที่ถามมานี้ได้กินยาคุมฉุกเฉินแล้ว เม็ดที่ 1 ตอน 18.20 แต่ยังไม่ได้กินเม็ดที่ 2* -ควรกินเม็ดที่ 2 มั้ยหรือไม่ต้องกินก็ได้ *มีเพศสัมพันธ์มีทั้งเสร็จในเสร็จนอกแต่ใส่ถุงยางทุกครั้ง แล้วเช็คดูแล้วไม่มีการรั่วซึม*
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)